วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

ธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ กับ"ไทยธรรม อัลไลแอนซ์"

ถ้าจะพูดถึงผู้หญิงคนนี้ คงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกันมากนัก กับบทบาทนักแสดงหญิงคนเก่งคนนี้ นางเอกที่เป็นขวัญใจ'ตลอดกาล' ของใครหลายคน ที่เธอประสบความสำเร็จอย่างงดงามบนถนนสายบันเทิงมานานกว่า 30 ปี วันนี้ชีวิตของเธอ ใครบ้างจะคิดว่า นางเอกสาวสวยหมายเลขหนึ่งของเมืองไทย ได้หวนกลับมาเป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆ จอแก้วอีกครั้ง แฟนๆ หลายคนคงจะจำกันได้ทั่วบ้านทั่วเมืองกับคำวลีที่ว่า"คุณแม่ไม่ปลื้ม" แม้ว่าจะจบไปแล้ว สำหรับดาราดังอย่าง "เปิ้ล" หรือ"คุณจารุณี สุขสวัสดิ์"

วันนี้...บนถนนชีวิตของเธอรับบทบาทเป็นกรรมการบริหาร "บริษัท ไทยธรรม อัลไลแอนซ์ จำกัด" บริษัทขายตรงแบบ (MLM) ซึ่งเป็นธุรกิจของเธอและเพื่อนๆ ซึ่งถูกยกให้เป็นธุรกิจขายตรง ที่ลงสนามแข่งขันกันดุเดือดเผ็ดร้อน!.. ที่สุดในรอบปี มารู้จักบทบาทใหม่ของเธอคนนี้ "คุณจารุณี สุขสวัสดิ์"



เส้นทางสายนี้ "จารุณี"
เมี่อตอนเป็นเด็กเธอคนนี้ ทำงานหนักมาตลอด เพราะครอบครัวมีฐานะยากจน ได้ยินแต่ว่าจนๆ "ทุกคนต้องหางานทำ" พอจะเรียนต่อแม่ส่งไม่ไหว แม่รับจ้างทำไร่รายได้น้อย "แต่เราอยากเรียนมาก" พออายุ 12 ปี ก็เข้าไปทำงานเป็นช่างปูน แบกปูนและผสมปูน พอผสมเสร็จแล้วก็หิ้วปูนขึ้นไปฉาบ แบกขึ้นชั้น 2 และ ชั้น 3 ได้ค่าแรงวันละ 25 บาท และยังเคยเป็นพนักงานชั่วคราวที่สวนสนุกแฮปปี้แลนด์ เธอทำทุกอย่างตั้งแต่คุมเครื่องเล่นเด็กๆ ขายอาหารและเครื่องดื่มต้องยืนทั้งวัน อยู่มาวันหนึ่ง เธออ่านหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเจอประกาศรับสมัครนักแสดง เธอลองไปสมัครพร้อมกับเพื่อนๆ และได้รับโอกาสดีๆ สู่ชีวิตเธอ "เขาบอกจะปั้นเราก่อน" แต่มีค่าใช้จ่ายเยอะ เรื่องแรกเขาจะให้เราก่อนหนึ่งหมื่นบาท เรารับได้ไหม เราเคยได้รับเจ็ดแปดร้อยบาท พอได้เล่นหนังได้ 1หมื่นบาท ดีใจมาก รับปากทันที หนังเรื่องแรกที่แสดงคือ "สวัสดีคุณครู" รับบทเป็นตัวเอก เล่นเป็นทอมบอย "หนังประเภทบู๊ เตะ ต่อย" หนังที่สร้างชื่อเสียงจะเป็นหนังที่รับบทเป็นผู้หญิงเก่ง กล้า และนับจากวันนั้นมาจนถึงวันนี้...

สู่ธุรกิจขายตรง (MLM)
การที่หลายปีก่อนนั้นเธอห่างหายไปจากงานการแสดง เนื่องเพราะวิถีชีวิตของวงการนี้เปลี่ยนไปคือ เก่าไปใหม่มาทำให้แฟนๆ หลายคนถามหาอยู่เสมอว่าขณะนี้ เธอหายจากโรคร้ายที่รุมเร้าหรือยัง และช่วงที่หายไปจากวงการนั้นไปทำอะไรจึงกลับมาดูสดใสกว่าเดิมแถมมีรายได้ที่ ดีขึ้นกว่าการเป็นนักแสดงอีกด้วย



ชีวิตของเธอวันนี้เปลี่ยน ไปจากเดิมอย่างมาก นอกจากจะยังมีผลงานการแสดงปรากฏอยู่บ้างแล้ว เธอยังก้าวเข้าสู่การเป็นธุรกิจนักบริหารในวงการขายตรงในฐานะกรรมการบริหาร 'บริษัทไทยธรรม อัลไลแอนซ์ จำกัด' มีสำนักงานตั้งอยู่ย่านถนนนวลจันทร์ ซึ่งถือได้ว่าที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ซึ่งได้พลิกบทบาทใหม่ในการเป็นนัก ธุรกิจวงการขายตรงและพิธีกรทีวีรายการยิ้มรับตะวันนอกเหนือจากที่รู้จักกันในบทบาทดารารักแสดงจอแก้วจอเงิน

หากย้อนดูภูมิหลังจะเห็นว่าคุณเปิ้ล จารุณี นั้นเป็นดาราระดับนางเอกแนวบู๊และแนวบุ๋นที่หลายคนชื่นชอบ จึงฝากผลงานที่ประทับใจพร้อมผลงานการแสดงไว้มากมาย การทำงานแต่ละครั้งเธอจะทุ่มเทและตั้งใจให้ผลงานออกมาดีอยู่เสมอ จนบางครั้งทำให้ตัวเธอเองต้องถึงกับประสบอุบัติเหตุจากการแสดง ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์เรือชนตอม่อและอุบัติเหตุทางรถยนต์ระหว่างเดินทางจนทำ ให้กระดู
กสันหลังหัก แต่นั่นยังไม่ร้ายแรงเท่ากับการเป็นโรคร้ายอย่าง"ไฮเปอร์ไทรอยด์" โรคต่อมไร้ท่อผิดปกติที่สร้างปัญหาให้กับตัวเธอและคนรอบข้างเสมอมา

ด้วยความที่โรคร้ายรุมเร้าทำให้เธอต้องดั้นด้นค้นหาสิ่งที่จะช่วยให้พ้นทุกขจากโรคร้ายจนประสบผลสำเร็จ จึงเป็นเหตุพลิกผันนำไปสู่การตัดสินใจเลือกบทบาทใหม่กับการเป็นนักธุรกิจจำหน่ายสมุนไพรและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพในเวลาต่อมาจากที่เพื่อนๆและคนที่รู้จักคุ้นเคยแนะนำให้ลองรับประทาน เพราะเธอพิสูจน์แล้วเห็นถึงคุณภาพจากการทดลองรับประทานด้วยตัวของเธอเองปรากฏว่าอากา
รดี ขึ้นเรื่อยๆ จึงอยากบอกต่อและยังสามารถสร้างรายได้ให้กับผู้คนในสังคมอีกทางหนึ่งด้วย ถึงแม้จะเป็นรายได้ที่ไม่มากมายมหาศาลแต่ก็ยังดีกว่ายากจนไม่มีเงินดังที่ เธอพบเจอชีวิตพร้อมลิ้มรสของความยากจนมาแล้วเมื่อครั้งในอดีต

จุดพลิกผันสู่ "ไทยธรรมคู่ธรรมะ"
จุดพลิกผัน ให้ชีวิตของดาราชั้นนำอย่างคุณเปิ้ล..จารุณี สุขสวัสดิ์ ได้ก้าวเข้ามาสู่การเป็นนักธุรกิจและพิธีกรนั้นเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่เธอพบ กับ "ภญ.อารยา สาริกะภูติ" ผู้ที่มีประสบการณ์การทำงานด้านสุขภาพ และความงามมากว่า 10 ปี พร้อมกับการที่เธอได้รับเชิญให้เป็นพรีเซนเตอร์ผลิตภัณฑ์เป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เธอได้ทดลองใช้ดูแลสุขภาพร่างกาย และช่วยให้เธอรอดพ้นทุกข์ทรมานจากโรคร้ายต่างๆมาแล้วนั่นเอง

นอกจากนั้นยังนับเป็นโอกาสพลิกผันอีกครั้ง เมื่อได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าร่วมทุนทำธุรกิจเธอจึงตอบตกลงทันทีเพราะเห็นว่าเป็นอ
ีกหนึ่งช่องทางในการเผยแพร่สิ่งที่ดีให้กับคนที่ยังมีปัญหาด้านสุขภาพและต้องการความช่วย เหลือที่เป็นโรคร้ายต่างๆพร้อมกับการนำผลกำไรกลับคืนสู่สังคมในนาม 'บริษัทไทยธรรม อัลไลแอนซ์ จำกัด'หนึ่งในบริษัทขายตรงของเมืองไทย

"ไทยธรรม อัลไลแอนซ์" ไม่ใช่มูลนิธิ แต่ได้ทำธุรกิจในลักษณะที่นำกำไรที่ได้ส่วนหนึ่งมอบให้กับมูลนิธิไทยธรรมเก็บไว้เป็น
ทุน ขยายผลิตภัณฑ์ นับถึงวันนี้ไทยธรรมมีสมาชิกแล้วกว่า 20,000 ราย มีศูนย์จำหน่ายขยายพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้เข้าถึงประชาชนทั่วประเทศสินค้ากลุ่มหลักคือ เวชสำอาง และแชมพู ฟาร์มา คอสเมด และกลุ่มผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอยรอบดวงตา B-Tox eye Series จากฝรั่งเศส ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก อาหารเสริมเพื่อความงาม โดยการใช้โกรทฮอร์โมนเทอราปี โภชนบำบัดจาก CAL แนวชีวจิต และคอนซูเมอร์โปรดัคส์เครื่องใช้ในครัวเรือนด้วยแนวทางการทำธุรกิจขายตรงอาจ จะไม่เหมือนรายอื่นๆ


นโยบายของ "ไทยธรรม อัลไลแอนซ์"
บริษัท เน้นที่การทำเพื่อสังคมมากกว่าเรื่องของผลกำไร เพราะรูปแบบของการดำเนินธุรกิจของไทยธรรม เป็นการทำตลาดแบบขายตรงผ่านระบบเครือข่ายหลายชั้น ที่มีการเขียนแผนใหม่เพื่อคนไทยโดยเฉพาะ คือ มีการรักษายอดส่วนตัวที่ต่ำมาก เดือนละ 300 - 1,000 บาท และไม่มีการรักษายอดกลุ่มไม่บังคับให้มีการตุนสินค้าในสต็อกแต่อย่างใด เป็นการเปิดโอกาสให้คนที่อยากจะมีรายได้เสริม หรือคนที่กำลังมองหาอาชีพอิสระ ที่ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์และสร้างรายได้ไม่จำกัด เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจของเรา แม้แต่ผู้บริโภคเพื่อสุขภาพและความงามของตัวเองก็ได้รับประโยชน์ จากสินค้านวัตกรรมคุณภาพสูง ในราคาไม่แพง และที่สำคัญคืนกำไรกลับคืนสู่สังคม

การแข่งขันสู่สังเวียนขายตรง
คุณเปิ้ลบอกว่า ความชื่อสัตย์และความจริงใจในการที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้สมาชิกเป็นสิ่ง สำคัญ และในขณะเดียวกันการต่อสู้กับคู่แข่งขันเจ้าอื่นๆ ในตลาดธุรกิจขายตรง เธอเลือกที่จะใช้จริยธรรมคู่ธุรกิจเป็นหลักในการดำเนินงาน"ไทยธรรม" มุ่งเน้นไปที่การแข่งขันกับตัวเอง เพื่อพัฒนาตัวเอง ทีมงาน และสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ออกมาเพื่อลูกค้าและเพื่อผู้บริโภค

ซึ่งแบ่งหมวดหมู่ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มอาหารเสริม เวชสำอาง และสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้ามีความแตกต่างกัน เป็นการนำนวัตกรรมที่ทันสมัยมาใช้ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศและนำเข้าวัตถุดิบ ส่วนสินค้าที่โดดเด่นที่ขายดีอยู่ในขณะนี้คือ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมไพน์สลีน มีคุณสมบัติช่วยการขับถ่ายและยับยั้งการเปลี่ยนแปลงน้ำตาลในไขมัน มีส่วนผสมของสมุนไพรไทย

เส้นทางสู่ความสำเร็จ "เปิ้ล"
สำหรับเป้าหมายในการก้าวสู่การมีอนาคตที่ดีมีความมั่นคงต่อไปนั้น เธอยังรับบทบาทการแสดงตามบทที่เหมาะสมและมีเวลาทุ่มเทให้กับการเรียน การเป็นพิธีกร ตลอดจนการบริหารงานที่ไทยธรรม ที่ต้องเข้าถึงสมาชิกกลุ่มมวลชนแบบถึงที่ และที่สำคัญเธอยึดมั่นในการทำความดีและเผยแพร่สู่คนอื่นๆ ซึ่งจะเห็นได้จากการนำเสนอสาระผ่านสื่อทีวีและผลิตภัณฑ์ที่เธอได้เรียนรู้ และสัมผัสถึงต้นตอการผลิตจริงๆ และเธอคิดและฝันไกลดังนั้น จึงไม่แปลกนักที่วันนี้ "เปิ้ล" คุณจารุณี สุขสวัสดิ์ จะพลิกชีวิตในบทบาทการก้าวสู่การเป็นนักธุรกิจและพิธีกร ถึงแม้ว่านี้จะเป็นเพียงเริ่มต้นธุรกิจในระดับหนึ่ง แต่เธอก็พร้อมที่จะพัฒนาตนเองให้ก้าวสู่ความสำเร็จที่สูงขึ้นไปอีก ควบคู่กับความหวังที่จะได้เห็นความสำเร็จของผู้คนในสังคมตลอดจนการที่ทุกคน มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ด้วยการสร้างธุรกิจสากลบนมาตรฐานความเป็นจริงกับบริษัทคนไทย

นี่เป็นอีกความภูมิใจของธุรกิจขายตรง"ไทยธรรม อัลไลแอนซ์" น้องใหม่ไฟแรงที่มีบุคลิกก้าวช้าๆ แต่ทว่ามั่นคง ซึ่งเติบโตเร็วรวดพรวดเดียวร่วม 2 หมื่นกว่าคน มีศูนย์ตัวแทนจำหน่ายกระจายสินค้า และสร้างผลงานให้วันนี้ชื่อของ"ไทยธรรม"ยังคงความนิยมอยู่ในใจของคนเครือ ข่ายเพื่ออาชีพในระดับรากหญ้าทั่วประเทศได้เป็นอย่างดี

สนใจทำธุรกิจดีๆและอิ่มบุญกับ "คุณเปิ้ล" ได้ที่
บริษัท ไทยธรรม อัลไลแอนซ์ จำกัด 32/115 หมู่ 8 ซอยนวลจันทร์ 12 แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ 10230โทร 0-2946-1367-71, มือถือ 08-1634-4693

ที่มา : เส้นทางทำมาหากิน

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

เครื่องล้างรถมอเตอร์ไซด์อัตโนมัติ

ในขณะที่ตลาดรถมอเตอร์ไซด์กำลังขยายตัว ธุรกิจที่เกี่ยวรถมอเตอร์ไซด์ ไม่ว่าจะเป็นร้านซ่อมรถ ร้านขายอุปกรณ์แต่งรถ หรือบริการล้างรถ ย่อมขยายตัวไปตามตลาด ถ้าคุณเป็นคนหนึ่ง ที่กำลังมองหาธุรกิจที่ลงทุนไม่สูงมาก และพอจะมีทำเลทำมาหากินที่ใกล้กับหอพัก หรือสถานที่ชุมชนที่มีมอเตอร์ไซด์รับจ้างจำนวนมาก ขอแนะนำ ธุรกิจเครื่องล้างรถมอเตอร์ไซด์อัตโนมัติ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีลูกจ้าง คุณก็สามารถทำเงินได้




วิธีการใช้งาน เพียงแค่คุณหยอดเหรียญ น้ำจะออกมาอัตโนมัติ(เช่น หยอดเหรียญ10บาท น้ำไหลประมาณ 2 นาที) แล้วแต่ว่า เจ้าของตู้หยอดเหรียญจะตั้งเวลาไว้ จากนั้นสามารถล้างรถได้เลย ผู้มาใช้บริการจะต้องเป็นคนล้างรถเอง หลังจากล้างน้ำเสร็จ สามารถล้างด้วยโฟมต่อ แล้วทำการล้างน้ำซ้ำ ถือว่าเสร็จขั้นตอน

สำหรับต้นทุนของธุรกิจ เครื่องล้าง-อัดฉีดหยอดเหรียญ มีราคาตั้งแต่ 30,000 กว่าบาท ไปจนถึง 60,000 เลยทีเดียว
ผู้สนใจ ลองคลิ๊กไปชมคลิปข่าวที่ mcot

อัตราเปรียบเทียบต้นทุน/กำไร
- 1 นาทีใช้น้ำ เท่ากับ 2.86 ลิตร
- 2 นาทีให้น้ำ เท่ากับ 5.72 ลิตร
- รถ 1 คันจะใช้บริการครั้งละ 20บาท /ต่อการหยอดเหรียญ 2ครั้ง

ค่าน้ำ หน่วยละ 12 บาท* 1 หน่วย มี 1,000 ลิตร
• น้ำประปาลิตรละ 1.2 สตางค์
• ไฟหน่วยละ 5 บาท *

ดังนั้น รถ 1 คันจะมีต้นทุนน้ำเท่ากับ 16.8 สตางค์ ไฟเท่ากับ 1.38 บาท
ต้นทุนทั้งหมด/รถ 1 คัน เท่ากับ 1.55 สตางค์ กำไร 18.45 บาท / คัน

*มีรถใช้บริการประมาณ 20คัน/วัน (20*20=400บาท/วัน)
หักค่าใช้จ่าย ค่าน้ำค่าไฟ (20*1.55=31บาท/วัน)
กำไรหักค่าใช้จ่าย(400-31=369 บาท/วันX=)(368*30=11040บาท/เดือน)

* อัตราค่าน้ำและไฟและน้ำจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับประเภทของที่พักหรือโรงงาน ท่าเป็นที่ของตัวเองก็นอนรับเงินสบายๆเลย

ข้อแนะนำ

ต้องมีพื้นที่ อย่างน้อย 3 x 3 ม และเป็นที่ซึ่งสามารถระบายน้ำทิ้งได้สะดวก ใกล้แหล่งชุมชน ที่อยู่อาศัย มีการใช้มอเตอร์ไซด์ อยู่มาก หรือรถยนต์ อยู่มาก ๆ เช่น ปั้ม, อพาร์ตเม้นท์, หอพัก, แหล่งนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

สร้างรายได้กับการแปรรูปผลไม้



ไทยเป็นประเทศที่มีผลไม้เยอะนะคะ แต่จะทำยังล่ะ ให้ผลไม้ของเราน่าสนใจกว่าเดิม เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาด นำเอาเรื่องราวของการแปรรูปผลไม้มาฝากค่ะ ผลไม้ของเราที่ออกตามฤดูกาลนั้น มีเยอะจนแทบจะล้นตลาดกันเลยทีเดียว บางทียังอดคิดไม่ได้เลย ขายถูกขนาดนี้ จะมีกำไรกันมั้ยน้า และการแปรรูปผลไม้สามารถเพิ่มมูลค่าสินค้า และเป็นการสร้างรายได้อีกทางหนึ่งด้วยค่ะ

ลำไย=>วุ้นลำไย
โดยส่วนผสมตามสูตรก็คือ...ลำไยสด 3 กิโลกรัม ต่อน้ำตาลทราย 3 กิโลกรัม และผงวุ้น 1 ถุง (ขนาด 25 กรัม)

วิธีทำเริ่มจาก...นำน้ำเปล่าประมาณ 3 กิโลกรัมใส่หม้อตั้งไฟ ต้มให้เดือด แล้วใส่น้ำตาลทรายลงไปคนให้ละลาย จากนั้นนำผงวุ้นไปละลายกับน้ำเย็นเพื่อให้แตกตัว ก่อนที่ จะนำมาเทใส่ใน หม้อน้ำที่ตั้งไฟไว้ “เคล็ดลับก็คือ อย่าเทผงวุ้นลงไปในน้ำร้อน ๆ เพราะจะทำให้ผงวุ้นแข็งตัวเกินไป” เมื่อเทผงวุ้นที่ละลายในน้ำเย็นลงไปในหม้อน้ำที่ตั้งไฟแล้ว ก็คนให้เข้ากัน ตั้งไฟต่ออีกสักพักจนกระทั่งเดือด ระหว่างนี้เตรียมถ้วยพลาสติกขนาด 6 ออนซ์ ใส่ลำไยสดที่ปอกเปลือกแกะเมล็ดแล้ว 4-5 ลูก แล้วตักน้ำวุ้นที่เดือดใส่ตามลงไป พักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที น้ำวุ้นจะแข็งตัวกลายเป็นเนื้อวุ้น ซึ่งสามารถทานได้ทันที แต่ควรแช่เย็นก่อนทาน-ก่อนขาย จะได้รสชาติหวานเย็นชื่นใจ

“วุ้นลำไย” นี้หากแช่เย็นจะเก็บไว้ได้ 2-3 วัน จากสูตรนี้จะทำได้ประมาณ 30-35 ถ้วย ขายราคาถ้วยละ 10 บาทขึ้นไปได้สบาย ๆ ส่วนกำไรก็แล้วแต่ราคาลำไยสด ราคายิ่งต่ำกำไรก็ยิ่งสูง

มังคุด=>น้ำมังคุด
มังคุดนั้นเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซี ช่วยแก้อาการคลื่นไส้ได้ ในช่วงที่มีผลผลิตมังคุดมาก และราคาถูก การแปรรูปโดยการทำเป็นน้ำมังคุดขายก็เป็นอีกวิธีเพิ่มมูลค่า และสำหรับส่วนผสมในการทำน้ำมังคุดตามสูตรที่ผมมีอยู่ ก็คือ...เนื้อมังคุดแกะเมล็ดในออก 1 กิโลกรัม ต่อน้ำต้มสุกประมาณ 8 ถ้วยตวง น้ำตาลทราย 5 ถ้วยตวง และเกลือป่น 2 ช้อนชา

วิธีทำเริ่มจาก...นำเนื้อมังคุดที่เอาเมล็ดออกแล้ว 1 กิโลกรัมใส่หม้อ ใส่น้ำลงไปตามส่วนคือ 8 ถ้วยตวง จากนั้นก็ติดไฟต้มและเคี่ยวด้วยไฟอ่อน ๆ จนเนื้อมังคุดเปื่อยยุ่ย จึงนำลงจากเตาไฟ จากนั้นกรองเอากากที่ไม่ต้องการทิ้ง บีบเอาน้ำออกจากกากให้หมด ยกน้ำมังคุดที่กรองได้ขึ้นตั้งไฟอีกครั้ง โดยเติมน้ำสะอาดเพิ่มลงไปให้ได้ปริมาณเท่าที่ต้มตอนแรก ต้มจนเดือดอีกครั้ง พอเดือดก็ใส่น้ำตาลทรายลงไป 5 ถ้วยตวง ลำดับสุดท้ายเติมเกลือป่นลงไป เมื่อเดือดดีก็นำขึ้นจากเตามากรองอีกรอบ จากนั้นปล่อยให้เย็น แล้วรินใส่ภาชนะ ก็จะได้ “น้ำมังคุด” พร้อมขาย ราคาขายก็ตั้งตามความเหมาะสมกับต้นทุน

เงาะ=>เงาะลอยแก้ว
ขั้นตอนการทำเงาะลอยแก้วนั้นไม่ยุ่งยาก จะคล้ายวิธีทำสละลอยแก้ว เพียงแต่เปลี่ยนวัตถุดิบเป็นเงาะเท่านั้น และไม่ต้องต้มให้สุกเหมือนสละ

วิธีทำเริ่มจาก...นำเงาะมาปอกเปลือก แกะเมล็ดออกแล้วหั่นเป็นชิ้นพอคำ นำไปล้างให้สะอาด แต่ไม่ควรแช่น้ำทิ้งไว้นานเพราะจะทำให้เนื้อเงาะเละเกินไป จากนั้นเตรียมทำน้ำเชื่อม โดยสัดส่วนก็ใช้น้ำตาลทรายประมาณ 1 กิโลกรัม ผสมกับน้ำเปล่าประมาณ 300 กรัม นำขึ้นตั้งไฟเคี่ยวให้เข้ากัน ให้น้ำตาลทรายละลายเป็นน้ำเชื่อม ทิ้งไว้ให้เย็นและนำเข้าเก็บในตู้เย็น เมื่อจะขายก็ตักน้ำเชื่อมใส่ถ้วย ใส่ชิ้นเงาะลงไป แล้วเติมน้ำแข็ง

ราคาขาย “เงาะลอยแก้ว” ก็ตั้งได้ตั้งแต่ 15-20 บาท ขึ้นอยู่กับปริมาณ-แหล่งที่ขาย โดยใส่เนื้อเงาะ 4-5 ชิ้น หรือตามขนาดภาชนะ ซึ่งเงาะ 1 กิโลกรัมจะทำขายได้ประมาณ 4-5 ถ้วยขึ้นไป

ที่มา : เดลินิวส์

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

ธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ

นำเรื่องราวกระแสธุรกิจมาแรงมาฝากค่ะ ซึ่งตลาดนี้ในบ้านเรายังมีไม่เยอะเท่าไหร่ น่าสนใจทีเดียวค่ะ คู่แข่งน้อย โอกาสประสบความสำเร็จย่อมมากกว่า ว่ามั้ยคะ

กระแส ความใส่ใจในสุขภาพกำลังเป็นทิศทางใหม่ของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันและในอนาคต เมื่อพิจารณาจากความเติบโตของตลาดสินค้าอาหารเพื่อสุขภาพในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา ประกอบกับปัญหาด้านโภชนาการของผู้บริโภคในเอเชีย เช่น โรคอ้วนที่เกิดในกลุ่มเด็กและเยาวชนอันเกิดจากการบริโภคอาหารฟาสต์ฟูดส์ อุปนิสัยในการทานอาหารที่ไม่ใช้สติ รวมทั้งการถูกคุกคามจากโรคภัยใหม่ๆ เช่น โรคซารส์ ไข้หวัดนก จึงเกิดเป็นการ “ปฎิวัติ” รูป แบบการใช้ชีวิตของผู้คนสมัยใหม่ที่หันมาให้ความสำคัญกับอาหารการกิน จึงเกิดเป็นโอกาสของธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพในภูมิภาคเอเชีย ที่ผู้ประกอบการชาวไทยไม่น่าจะมองข้ามไป

ทั้งนี้ประเทศในโลกตะวันตก อย่าง ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ได้กลายเป็นตลาดสำคัญของสินค้าเพื่อสุขภาพของโลกโดยมีเม็ดเงินในตลาดกว่า 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นเครื่องหมายยืนยันและยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่องโดยสินค้าเกือบ ทั้งหมดส่งตรงมาจากประเทศในเอเชียอย่าง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมทั้งไทย



แต่เป็นเรื่องน่า แปลกใจเมื่อมองกลับมายังตลาดในภูมิภาคเอเชียเอง กลับมีสินค้าวางจำหน่ายเพียงแค่ 4 เปอร์เซ็นต์ของการผลิตเท่านั้น ทั้งๆ ที่ในภูมิภาคนี้เปรียบเสมือนเป็น “ผู้ผลิต” รายใหญ่ของโลกแท้ๆ และผู้บริโภคยังมีความต้องการอีกจำนวนมาก

นี่จึงเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการชาวไทยที่คิดจะเริ่มบุกตลาดอาหารเพื่อสุขภาพในเอเชียที่ยังเป็นน่านน้ำสีฟ้าครามอยู่

โดยผลิตภัณฑ์อาหารที่กำลังเป็นกระแสในปัจจุบันประกอบไปด้วย Organics Food หรืออาหารที่ปราศจากสิ่งแปลกปลอมที่ไม่ได้เกิดโดยธรรมชาติ Functional Food หรือ อาหารเสริมวิตามินโดยวิธีธรรมชาติ และปราศจากไขมันที่อันตรายต่อสุขภาพ เป็นต้น กล่าวโดยภาพรวมคือเป็นอาหารที่ผลิตขึ้นด้วยวิธีการทางธรรมชาติ ปราศจากสารเคมี และบรรจุในแพคเกจจิ้งที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ

ทั้ง นี้จากการเปิดเผยของ มาร์ค การ์วูด ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัทเดลีย์ฟาร์ม จำกัด ผู้จัดจำหน่ายสินค้าอาหารเพื่อสุขภาพให้กับร้านค้าปลีก 3,165 สาขาทั่วทวีปเอเชีย กล่าวถึงการเติบโตของธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพว่า ตลาดโดยรวมโตขึ้นโดยเฉลี่ย 5 เปอร์เซ็นต์ทุกปี ที่สำคัญแนวโน้มธุรกิจไม่ใช่เพียงแค่แฟชั่นที่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่กำลังจะเป็นกระแสหลักของการดำเนินชีวิตในยุคหน้าอย่างแน่นอน

มองย้อนกลับไปในปี 2002 มีรายการอาหารเพื่อสุขภาพเพียงแค่ 100 รายการเท่านั้น แต่ในปัจจุบันมีจำนวนรายชื่อสินค้ากว่า 7,000 รายการ

สำหรับ สินค้าจากประเทศไทยที่เดลี่ย์ฟาร์มจัดส่งไปวางจำหน่ายและประสบความสำเร็จ ได้แก่ ตะไคร้ พริกหวาน ข้าว ชาเขียว ที่เป็นอาหารสด ส่วนอาหารสำเร็จรูปได้แก่ อาหารไทยบรรจุกระป๋อง น้ำพริกและน้ำปลา นอกจากนี้ยังมีสินค้าที่เป็น Personal care เช่นผลิตภัณฑ์สปา ก็ได้รับความนิยมเช่นกัน และถือเป็นสินค้าที่สร้างชื่อให้กับคนไทยอย่างมาก

โดย ตลาดที่มีความต้องการสูงในภูมิภาคนี้ ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง และสิงค์โปร แม้ประเทศเหล่านี้จะเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ด้วยเช่นกัน แต่ช่องทางที่ผู้ประกอบการชาวไทยจะส่งสินค้าไปตีตลาดก็ยังมีอีกมาก ทั้งนี้จากการสำรวจความคิดเห็นและพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคพบ ว่าสาเหตุที่หันมาเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ คือ มีความตระหนักในคุณค่าทางอาหารจึงต้องการทานแต่ของสดเท่านั้น ทัศนคติในการนิยมมีบุตรเพียงคนเดียวต่อครัวเรือน จึงมีกำลังซื้อในการสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดแก่คนในครอบครัว และผู้บริโภคมีการศึกษาที่สูงขึ้น จึงแยกแยะได้ว่าสิ่งใดที่ดีหรือไม่ดีต่อร่างกายอย่างไร

ช่อง ทางการจำหน่ายนั้น นอกจากวางขายผ่านโมเดิร์นเทรด ทั่วไปแล้ว ร้านค้าปลีกที่จำหน่ายเฉพาะอาหารสดเพื่อสุขภาพโดยเฉพาะกำลังเติบโตอย่างรวด เร็วด้วยเช่นกัน และเป็นช่องทางจำหน่ายที่ผู้บริโภคเลือกที่จะเดินเข้าไปจับจ่ายสินค้ามากที่ สุด เช่น Wellcome, Cold storage, Guardian และ ThreeSixty เป็นต้น

ด้าน กฎระเบียบข้อบังคับที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญคือ การออกใบรับรองสิทธิบัตรที่จะยืนยันความปลอดภัยของอาหารที่จะส่งออก ซึ่งแต่ละประเทศจะมีกฎระเบียบที่แตกต่างกันออกไป โดยผู้ประกอบการสามารถใช้บริการผ่านเอเยนซี่ในการดำเนินเรื่องตรวจสอบ มาตรฐานการผลิตและขอใบรับรองคุณภาพสินค้าได้เช่นกัน โดยหน่วยงานของรัฐบาล เช่นกรมส่งเสริมการส่งออก เป็นผู้ที่สามารถช่วยเหลือให้คำแนะนำแก่ผู้ส่งออกได้ ซึ่ง ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ตั้งแต่การห้ามใช้สารเคมีใดๆ มาเจือปนทั้งสิ้น การดูแลรักษาสภาพแวดล้อมของสถานที่เพาะปลูก บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

ส่วน ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อผู้ประกอบการคือ การเพาะปลูกบางครั้งจะต้องเจอกับปัญหาภัยธรรมชาติที่ไม่อาจจะคาดการณ์ได้ ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นเนื่องจากไม่สามารถใช้สารเคมีในการป้องกันแมลงศัตรู พืชได้จึงต้องป้องกันด้วยวิธีการทางธรรมชาติ เช่น เลี้ยงแมลงที่คอยป้องกันศัตรูพืชไว้ในสถานที่เพาะปลูก รวม ถึงการผลิตที่ไม่อาจจะปลูกในปริมาณมากได้ เพราะจะต้องควบคุมการผลิตในปริมาณที่จำกัด ส่งผลให้สินค้าอาจมีราคาที่สูงเกินกว่าที่คนทั่วไปจะหาซื้อได้

ทั้ง นี้จำนวนผู้ประกอบการที่มุ่งจับตลาดสินค้าอาหารเพื่อสุขภาพยังมีจำนวนที่ไม่ สูงนัก เพราะเป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยความชำนาญเฉพาะทางในด้านการผลิตเชิงเกษตรกรรม เป็นอย่างมาก ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสินค้าเกษตรอันดับต้นๆของโลก ที่มี Know how ทางด้านนี้อย่างพร้อมเพรียง โอกาสที่จะเข้าไปจับจองพื้นที่บน “น่านน้ำสีฟ้าคราม” นี้จึงยังเปิดกว้างอีกมาก


หมายเหตุ : ตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพในภูมิภาคเอเชียมีมูลค่ากว่า 29,000 ล้านเหรียญดอลล่าห์สหรัฐ โดยตลาดผู้บริโภคที่มีขนาดใหญ่ที่สุดอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงค์โปร์ ตามลำดับ ทางด้านประเทศผู้ผลิตรายใหญ่คือประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สำหรับประเทศไทยกับประเทศอินโดนีเซีย ถูกจัดให้อยู่อันดับที่สามร่วมกัน โดยมีจุดเด่นที่สินค้าประเภทสปา

ที่มา : ผู้จัดการ


สำหรับผู้สนใจ อยากแนะนำหนังสือ เผื่อจะได้เป็นแนวทางให้ผู้ที่สนใจนำไปต่อยอดความคิด หนังสือที่ว่าก็คือ "ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ธุรกิจรวยไวเพื่อคนใส่ใจสุขภาพ" (ซื้อหนังสือออนไลน์ ก็ประหยัดดีนะคะ ได้ส่วนลดด้วย) http://www.infopress.co.th

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

เพาะเลี้ยงไส้เดือน


วันก่อนได้แนะนำอาชีพเพาะเห็ดไปแล้ว วันนี้ขอต่ออีกวัน แต่วันนี้เป็นการเพาะพันธุ์ไส้เดือนขาย งานนี้ต้นทุนต่ำ กำไรงามอีกแล้วค่ะท่าน การเพาะเลี้ยงไส้เดือนทำได้หลายวิธี ลงทุนเพียง 500 บาท ท่านก็สามารถเลี้ยงไส้เดือนได้ โดยไส้เดือนที่เราเลี้ยงได้ สามารถนำมาขายต่อให้กับกลุ่มผู้เลี้ยงบ่อปลา, กลุ่มผู้เลี้ยงปลาสวยงาม, นำมาย่อยสลายขยะ ดินที่ได้จากการมูลไส้เดือนนั้น สามารถนำมาทำเป็นปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนได้อีกด้วย



วิธีการเลี้ยง ทำได้หลายวิธีตั้งแต่เลี้ยงในคอนโด ไปจนถึงขยายทำเป็นฟาร์มทีเดียว สำหรับผู้เริ่มต้นขอแนะนำว่า เลี้ยงในชั้นพลาสติกน่าจะทำได้ง่ายและต้นทุนต่ำด้วย ทำได้ด้วยการเจาะรูระบายอากาศด้านบนและเจาะรูด้านล่างของชั้นแต่ละชั้น สำหรับ 3 ชั้นแรก และชั้นสุดท้ายไม่ต้องเจาะรูเพื่อรองน้ำจากมูลของไส้เดือนจากชั้น 1-3 อีกที ส่วนวัสดุที่นำมาเป็นที่อยู่ของไส้เดือนควรจะเป็นวัสดุที่เก็บความชื้นได้ีดี มีความพรุน เช่นกากใยมะพร้าว ผสมมูลวัวแห้ง รดน้ำพอชุ่ม หลังจากนั้นนำพันธุ์ไส้เดือนดินมาใส่ประมาณ 100-200 ตัวต่อชั้น อาจหากระดาษกล่องแช่น้ำใส่ลงไป เพื่อเป็นที่อยู่และอาหารของไส้เดือนแต่ไม่ควรแห้งหรือเปียกกันเกินไป ทั้งนี้เพื่อป้องกันไส้เดือนหนีและใช้หลบภัย หลังจากนั้นก็ตามด้วยอาหารประเภท อินทรียวัตถุ เศษผัก ผลไม้เหลือ ของเหลือ อินทรียวัตุภายในครัวเรือนหรือเป็นอาหารสำหรับไส้เดือนและเพื่อให้ไส้เดือนย่อยสลายเป็นปุ๋ยไส้เดือนดินนำมาใช้ประโยชน์ได้อีก

สำหรับราคาในตลาดตอนนี้ มีหลายราคามากซึ่งขึ้นกับพันธุ์ของไส้เดือนอีกที เช่น ไส้เดือนสีน้ำเงิน ขี้ตาเหล่ ราคาอยู่ที่ 200-500 บาท/กก., ไส้เดือนพันธุ์ AF ราคาอยู่ที่ 3000 - 4000 บาท/กก. ใครสนใจสามารถหาความรู้เพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaiworm.com เวปไซด์นี้ค่อนข้างจะครบวงจรทีเดียวค่ะ

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

เป็นเจ้าของธุรกิจเติมเงินมือถือง่าย ๆ เพียงแค่...



การเปิดร้านเติมเงินมือถือ ตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องง่ายไปเสียแล้ว เพราะมีหลายค่ายให้คุณเป็นเจ้าของร้านเติมเงินมือถือง่าย ๆ โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูง เพียงแต่คุณมีอินเตอร์เน็ต คุณก็สามารถมีธุรกิจเป็นของตัวเองได้ (ขอแนะนำ siam topup ค่ะ เพราะค่อนข้างน่าเชื่อถือ) ทำได้โดยสมัครทำธุรกิจกับทาง siam topup โดยเสียค่าสมัครแรกเข้าเพียง 300 บาท และเสียรายเดือน เดือนละ 50 บาท เท่านี้ คุณก็สามารถเป็นเจ้าของร้านเติมเงินได้แล้วค่ะ เติมได้ทุกระบบไม่ว่าจะเป็น Happy, One-two-call, truemove, Hutch, We PCT


ขั้นตอนการสมัคร ทำได้โดยผ่านทางเวปไซด์ http://www.siamtopup.com เมื่อคุณสมัครแล้ว คุณจะได้รับ account เพื่อให้สามารถใช้งานได้, siam topup จะเปิดบัญชีธนาคารให้คุณ เมื่อคุณเติมเงินในบัญชี คุณก็สามารถเติมเงินให้กับมือถือเครื่องอื่น ๆ ได้ โดยผ่านหน้าเวปไซด์เช่นเดียวกัน

สิ่งที่คุณจะได้รับหลังจากทำธุรกิจนี้คือ เปอร์เซ็นต์ที่ได้รับจากมือถือแต่ละระบบ One-two-call 3.5%, Happy 3.2, truemove 5%, Hutch 3%, We PCT 3% เช่นคุณเติมเงินระบบ hutch ให้กับคนอื่น 100 บาท คุณจะได้ 3 บาท hutch จะได้ 97 บาท คนที่มาเติมเงินกับคุณได้ 100 บาท นอกจากนี้ คุณยังสามารถได้รายได้จากการแนะนำคนอื่น ๆ ให้สมัครทำธุรกิจนี้ด้วย

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

เพาะเห็ดขาย รายได้นับหมื่น


แนะนำสำหรับคนที่พอจะมีเวลา มีที่ดิน ด้วยเงินลงทุนที่ไม่ได้มากมายนัก แต่ให้ผลตอบแทนแบบลืมเหนื่อยกันเลยทีเดียว อาชีพเพาะเห็ด มีมานานแล้วแต่หลาย ๆ คนที่ไม่ได้คลุกคลี อาจจะยังไม่ได้คิดถึงอาชีพนี้ คุณประเสริฐเป็นคนหนึ่งที่หันเหอาชีพ มาประกอบอาชีพเพาะเห็ดอย่างเต็มตัว

หลังสอบตกจากการลงเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด อุบลราชธานี (ส.อบจ.) ทำให้ "ประเสริฐ โพนะทา" อดีต ส.อบจ.เขต อ.ตาลสุม หันชีวิตเข้าสู่การเป็นเกษตรกรผู้เพาะเห็ดและทำก้อนเห็ดส่งขายอย่างเต็มตัว จากเดิมที่ทำเป็นเพียงอาชีพเสริมเท่านั้น ทำให้ปัจจุบันมีรายได้เป็นกอบเป็นกำจากการขายดอกเห็ด และทำก้อนเห็ดขาย โดยไม่หวั่นแม้ว่าเศรษฐกิจของบ้านเมืองกำลังซบเซา

ประเสริฐเล่าว่า เดิมมีอาชีพเป็นตำรวจ และชอบด้านการเกษตร-ปศุสัตว์อยู่บ้าง โดยก่อนหน้านั้นได้เลี้ยงหมู จากนั้นมีโอกาสเดินทางไปศึกษาดูงานที่ จ.กาฬสินธุ์ ทำให้ได้ความรู้เกี่ยวกับการเพาเห็ดขาย จึงนำความรู้นั้นมาลองทำ โดยเริ่มปี 2537 จากการซื้อก้อนเห็ดสำเร็จ รูปมาเพาะในโรงเรือน เพื่อเก็บดอกขาย ซึ่งพบว่ารายได้จากการจำหน่ายค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับการเลี้ยงหมูที่ต้องใช้เงินทุนสูงมาก จึงเริ่มไปเรียนรู้วิธีการทำก้อนเห็ดเพื่อนำมาทำเอง ซึ่งก็ได้ผล เพราะเห็ดให้ผลผลิตดี ทำให้เริ่มมีรายได้เข้ามามากขึ้น กระทั่งมีลูกค้าสั่งซื้อก้อนเห็ดเพิ่ม จนในที่สุดต้องหยุดเลี้ยงหมูมาทำเห็ดแทน

"ระหว่างที่ทำก้อนเชื้อเห็ดขาย ยังเป็นตำรวจอยู่ ต่อมาได้ลาออกและหันมาเพาะเห็ดเต็มตัว อีกทั้งได้นำความรู้ที่มีอยู่เป็นวิทยากรให้แก่เกษตรกร มีการรวมกลุ่มเกษตรผู้เพาะเห็ดใน พื้นที่ กระทั่งต่อมาได้ลงเล่นการเมืองสนามท้องถิ่น จนได้เป็น ส.อบจ.อุบลราชธานี อ.ตาลสุม 1 สมัย ซึ่งก็นับได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากในการทำอาชีพและให้ความรู้แก่ผู้อื่น"

ประเสริฐบอกว่า หลังสอบตกจากการลงรับสมัครเลือกตั้ง ก็หันมาเพาะเห็ดและทำก้อนเห็ดขายต่ออย่างเต็มตัว โดยทำเป็นอาชีพหลัก ส่วนรายได้จากการจำหน่ายก้อนเชื้อและเห็ดหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วมีเฉลี่ยอยู่ที่ 2-3 หมื่นบาทต่อเดือน ซึ่งถือเป็นรายได้ที่ดีในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้
"ที่เพาะมีอยู่ 2 ชนิด คือ เห็ดขอนป่า และเห็ดนางฟ้า โดยเห็ดเหล่านี้ถือเป็นอาหารพื้นเมืองที่คนนิยมรับประทาน ราคาไม่ตก ตลาดรับซื้อไม่อั้น ปัจจุบันราคาขายส่งหน้าฟาร์ม เห็ดขอนแก่นป่าอยู่ที่ กก.ละ 50 และเห็ดนางฟ้า กก.ละ 30 บาท"

ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการทำอาชีพเพาะเห็ดขายนั้นไม่ยาก เพียงแค่เตรียมวัสดุทำก้อนเห็ด ประกอบด้วย ถุงพลาสติกทนร้อน ขี้เลื่อยยางพารา หัวเชื้อเห็ด คอขวด สำลี ยางรัด ตะเกียงแอลกอฮอล์ ถังนึ่งฆ่าเชื้อ โรงเพาะเห็ด รำละเอียด ปูนขาว ยิปซัม ดีเกลือ กากน้ำตาล สวยยางรดน้ำ โรงบ่มก้อนเชื้อ

ส่วนวิธีการทำก้อนเชื้อเห็ด เพียงนำขี้เลื่อยมาผสมกับอาหารและส่วนผสมตามสูตรของเห็ดแต่ ละชนิด ซึ่งสูตรผสมโดยทั่วไป ได้แก่ ขี้เลื่อย 100 กก. รำอ่อน 5 กก. ปูนขาว 1 กก. ดีเกลือ 0.3 กก. ยิปซัม 0.3 กก. กากน้ำตาล 1 กก. คลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นรดด้วยน้ำสะอาด นำมาบรรจุในถุงพลาสติกให้เต็ม ไล่ลมออกให้หมดแล้วทุบให้แน่นพอประมาณจึงนำมาใส่คอขวด ปิดด้วยสำลีหรือจุก รัดด้วยยางวงเล็ก จากนั้นนำก้อนเห็ดไปนึ่งฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส ก่อนจะปล่อยให้เย็น แล้วค่อยนำเชื้อเห็ดลง ในถุงก้อน แล้วนำถุงก้อนเชื้อเข้าโรงบ่มพักไว้ประมาณ 30-35 วัน ให้อากาศถ่ายเทสะดวกเพื่อให้เส้นใยเดินเต็มถุงแล้วค่อยนำเข้าโรงเพาะเพื่อทำ การเปิดดอก
หากสนใจวิธีการเพาะเห็ด หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ สามารถโทรศัพท์มาได้ที่ 08-1967-8732 เนื่องจาก ประเสริฐได้ฝึกอบรมให้ความรู้แก่ชาวบ้านมาเป็นจำนวนมาก และพร้อมจะถ่ายทอดความรู้ให้แก่เกษตรกรหรือแรงงานที่ตกงานที่สนใจเพาะเห็ดในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ

ที่มา : คม ชัด ลึก

 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | Justin Bieber, Gold Price in India