วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554

แฟรนไชส์อาหารราคาถูก สเต็กลุงหนวด

สเต็กลุงหนวดเป็นอาหารยอดฮิต ราคาประหยัด ด้วยเมนูที่หลากหลายและราคาไม่แพง ทำให้สเต็กลุงหนวดเป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ในกรุงเทพเองก็มีหลายสาขา ให้ได้เลือกชิมเลือกลิ้มลองกัน หลายสาขาตั้งอยู่ริมถนน ด้วยความที่เป็นสเต็กราคาถูก ทำให้หน้าร้านไม่ต้องตกแต่ง, ไม่ต้องดูแลมาก (ถือเป็นการลดต้นทุนสำหรับผู้ลงทุนทำแฟรนไชส์อย่างมาก) และรสชาติที่สวนทางกับราคา ทำให้สเต็กลุงหนวดติดตลาดโดยเราแทบไม่ต้องโปรโมท หรือโฆษณาแต่อย่างใด เรียกง่าย ๆ ว่า แค่ชื่อก็ขายได้แล้ว

เมนูของสเต็กลุงหนวดมีหลากหลายเมนูด้วยกัน มีตั้งแต่สเต็กหมู, สเต็กไก่, Pork Chop,สเต็กเนื้อสัน, fish&Chip, ไส้กรอกหมูรมควัน, ไส้กรอกลูกวัว, นักเก็ต, แฮมสเต็ก, ทีโบน,เฟรนฟราย ไปจนถึงข้าวผัดอเมริกันไข่ดาว โดยราคาอยู่ที่ 40-70 บาท ถูกปาก ถูกใจ สบายกระเป๋าอีกด้วย

หากคุณอยากทำธุรกิจแฟรนไชส์นี้ ต้องติดต่อโดยตรงกับบริษัทของลุงหนวดเลย เพราะลุงหนวดไม่ได้โปรโมทร้านผ่านทางเวปไซต์มีแต่พูดกันปากต่อปาก ที่อยู่ของลุงหนวดติดต่อได้ตามนี้เลยค่ะ

บริษัท สเต็กลุงหนวด จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 76/190 หมู่ที่ 6 ถนนติวานนท์ ตำบลท่าทราย อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี โทร. 02-591-7109 , 02-5881814 , 081-8322498

หากคุณอยากพบคุณหนวด ลองไปที่ร้านสเต็กลุงหนวดสาขาแรก อยู่แถวประชาชื่น ร้านเริ่มเปิดเวลาประมาณ 1 ทุ่ม หยุดทุกวันอาทิตย์และทุกวันที่ 20 ของเดือน

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ทำไมซีพีจึงประสบความสำเร็จ

จากคำถามดังกล่าว เจ้าสัวธนินท์เฉลยว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ใช้ 3 นโยบายในการดำเนินธุรกิจ นั่นคือ ต้องเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ต้องเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และต้องเป็นประโยชน์ต่อบริษัท “ไม่ว่าจะไปลงทุนในประเทศไหนก็ตาม โดยเฉพาะในไทย ต้องมี 3 ประโยชน์นี้ ขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง ซีพีอยู่ไม่ได้” ธนินท์เล่า
เขาอธิบายต่อว่า ถ้าหากดำเนินธุรกิจแล้วไม่เกิดประโยชน์ต่อประเทศ รัฐบาลก็ไม่สนับสนุน ถ้าไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชน ประชาชนก็ไม่ซื้อสินค้าซีพี “ซีพีไม่มีอำนาจที่จะไปบอกว่าคุณต้องมาซื้อไข่ เนื้อหมูของพวกเราไปทาน ถ้าขายของแพงแล้วคนไม่มีกำลังซื้อ ซีพีก็ไม่รู้จะไปขายให้ใคร พวกเราไม่ชอบขายของแพง แต่ขายของถูก ซีพีชอบ เพราะขายง่าย”

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาซีพีใช้กลยุทธ์เดินสายกลาง ไม่ขายสินค้าแพงหรือถูกจนเกินไป “ถ้าขายของถูก เกษตรกรอยู่ไม่ได้ ถ้าขายแพงไป ผู้บริโภคก็ไม่ซื้อ ดังนั้นซีพีไปลงทุนที่ไหนจะต้องเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และถ้าบริษัทไม่มีรายได้ ไม่กำไร บริษัทจะไปจ้างไปพัฒนาคนเก่งหรือวิจัยค้นคว้าได้อย่างไร และถ้าบริษัทนั้นไม่มีกำไร รัฐบาลก็ไม่มีภาษี เพราะพวกเราต้องเสียภาษีรายได้” ธนินท์กล่าว


นอกจากนี้ ที่ผ่านมาเจ้าสัวธนินท์มักจะพูดกับพนักงานซีพีเสมอว่า ซีพีจะมองหาคนเก่งๆ แล้วนำเข้ามาบริหารงานองค์กร “อย่าไปจำกัดตัวเองว่าต้องใช้คนในครอบครัว แต่เราไปเชิญคนเก่งเข้ามาบริหาร เราถึงจะเก่งจริง เราต้องมองทั่วโลก เพราะธุรกิจซีพีไปทั่วโลก ดังนั้นตลาดของทั่วโลกเป็นของซีพี เราต้องตั้งโจทย์นี้ไว้ แล้วทำให้พนักงานทุกคนเห็นเป้าหมาย มีเป้าหมาย และวัตถุดิบทั่วโลกเป็นของซีพี แต่ถ้ามาจำกัดว่าวัตถุดิบต้องมาจากในประเทศ ก็ต้องถามว่ามีวัตถุดิบเพียงพอที่จะผลิตแล้วไปขายทั่วโลก ดังนั้น ถ้าซีพีจะขายของทั่วโลก ก็ต้องใช้วัตถุดิบทั้งโลก โดยกลยุทธ์ ก็คือ วัตถุดิบที่ไหนถูกก็ใช้ที่นั่น ที่ไหนดีก็ไปซื้อที่นั่น” ธนินท์อธิบาย


ความลับอีกอย่างที่ธนินท์เฉลยออกมาที่ทำให้ซีพีประสบความสำเร็จ นั่นคือ ทำอะไรที่คนอื่นยังไม่ได้ทำ “ดังนั้นข้อมูลจึงเป็นเรื่องสำคัญ ต้องรู้ก่อน เข้าใจก่อน ศึกษาก่อน แล้วก็ทำก่อน เช่น ธุรกิจปูนซีเมนต์ ผมมีเงินแต่จะไม่ทำ เพราะเสียเวลา เสียคนเก่ง ตรงกันข้ามผมเอาคนเก่งไปทำธุรกิจที่ยังไม่มีใครทำแล้วมีอนาคต ไม่มีคู่แข่ง”
ที่ผ่านมาในสายตาคนไทย อาจจะนึกว่าซีพีเก่งไปหมดทุกอย่าง แต่ความจริงแล้วพวกเขาเพียงแต่ฉลาดเลือกทำในธุรกิจที่ยังไม่มีคู่แข่ง อย่างเช่น ช่วงที่ซีพี ทำร้านสะดวกซื้อ 7/11 ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครทำ ดังนั้นพวกเขาไร้คู่แข่ง

“ถ้าเปรียบกับการชกมวย พวกเราต่อยอย่างไรก็ชนะ ต่อให้สะดุดขาตัวเองสลบไป ตื่นขึ้นมาใหม่ ก็ยังชนะ เพราะไม่มีคู่ชก ดังนั้นพวกเราจะหลีกเลี่ยงคู่แข่งที่เข้มแข็งกว่า และถ้าตลาดไหนมีการแข่งขันอยู่แล้ว ก็ไม่เข้าไป ผมเคยคิดจะทำธุรกิจเบียร์ แต่มีคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี ที่เก่งและผมนับถือมาก ถ้าผมเข้าไปทำแล้วเกิดชนะคุณเจริญ ไม่ใช่แค่คุณเจริญเท่านั้นที่ต้องบอบช้ำ ผมก็ต้องบอบช้ำด้วย ดังนั้นซีพีเลือกทำธุรกิจ ไม่ใช่อยากจะทำอะไรก็ทำ” ธนินท์เล่า


ข้อสำเร็จอีกอย่างหนึ่งที่เจ้าสัวธนินท์บอก นั่นคือ ถ้าหากไปลงทุนในประเทศที่ด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนา ซีพีจะไม่ใช้เทคโนโลยีแบบล้าสมัย แต่ต้องทำให้เทียบเท่าหรือเหนือกว่า “พวกเรามาทีหลังต้องมีเทคโนโลยีสูงกว่า อย่างเช่น ระบบโทรศัพท์ เป็นเรื่องเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็ว พวกเราต้องเร็วกว่า หรือนำสมัยกว่า”
หรือแม้แต่เรื่องการเกษตร เจ้าสัวธนินท์บอกว่ามีคนเข้าใจผิดว่าการเกษตรไม่ต้องใช้เทคโนโลยี แต่ความจริงยิ่งเกษตรกรมีความรู้น้อย ยิ่งจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสูง “เมื่อ 40 ปีก่อน ผมส่งเสริมเลี้ยงไก่ 10,000 ตัว เกษตรกรไม่เคยเลี้ยงไก่ แต่พอเอาไก่ไปให้เลี้ยง พวกเขาเลี้ยงได้ ผมถามว่าเหนื่อยหรือไม่ พวกเขาบอกว่าเลี้ยงติดต่อกัน 16 ชั่วโมงยังไม่เหนื่อยเลย เพราะว่าเลี้ยงไก่ในร่ม ผมมีพัดลมให้ด้วย ทำให้เกษตรกรทำงานได้นานและไม่เหนื่อย เหมือนกับกล้องถ่ายรูป ผู้ผลิตผลิตด้วยเทคโนโลยี คนใช้กดอย่างเดียว ภาพออกมาอย่างกับช่างภาพที่เชี่ยวชาญ”


ดังนั้น เพื่อให้เกษตรกรประสบความสำเร็จก็ต้องใส่เทคโนโลยีเข้าไป “เกษตรกรไทยทุกวันนี้ 1 คนสามารถเลี้ยงไก่ไข่ได้ 150,000 ตัว ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่ตกใจของเมืองจีน จนมีคำถามตามมาว่าถ้าคนหนึ่งเลี้ยงไก่ไข่ได้มากขนาดนั้น เกษตรกรที่เหลือต้องตกงานแน่นอน ผมตอบว่าถ้าทำได้อย่างนี้จะมีเกษตรกรเพิ่มขึ้นอีก 2 เท่ากว่าๆ เพราะซีพีไม่ได้ส่งคนไปดูแลไก่ทุกคน แต่ส่งเข้าโรงงาน ส่งคนไปขับรถ ส่งคนไปขายไก่ย่าง 5 ดาว ดังนั้นต้นทุนจากการเลี้ยงไก่ต่ำ ก็จะทำให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องไปได้ และฉุดกันขึ้นมา เมื่ออุตสาหกรรมเกษตรดีก็จะไปฉุดอุตสาหกรรมอื่นๆ ตามขึ้นมา ดังนั้นคนที่เหลือที่มาเป็นคนงานและพนักงาน ย่อมจะมีรายได้สูงกว่าเกษตรกร” ธนินท์กล่าว


อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ซีพีประสบความสำเร็จ คือ จะไม่นำลูกหลานเข้ามาทำงานในธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแล้ว “ลูกหลานซีพีมีไม่มากมายอะไร แต่ผมก็มีนโยบายนี้ เพราะธุรกิจที่สำเร็จแล้ว แปลว่าทุกขั้นตอนมีคนเก่ง ธุรกิจนี้จึงจะสำเร็จ ถ้านำลูกหลานเข้ามาแซงคิว ผมว่ามีแต่เสียกับเสีย และถ้าลูกหลานเราเก่ง คนก็ไม่รู้ว่าเขาเก่ง เพราะทุกอย่างดีอยู่แล้ว มองไม่ชัด แล้วจะทำให้คนเก่งๆ ลาออก ไม่เห็นอนาคต เพราะคิดว่าเป็นบริษัทครอบครัว”
กลยุทธ์ของธนินท์คือ นำเอาลูกหลานไปทำธุรกิจใหม่ๆ ด้วยการให้วงเงินเพื่อไปทำธุรกิจที่มีอนาคต ซึ่งเป็นการแสดงความสามารถ ถ้าทำได้ไม่ดีก็ปิดกิจการ และไม่กระทบกับบริษัทแม่ แต่ถ้าบริหารแล้วรุ่งเรือง ซีพีก็ได้ธุรกิจเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งธุรกิจ


“ถ้านำลูกหลานที่เก่งๆ มาบริหารธุรกิจที่เก่งแล้ว ก็ยังคงมีเพียงหนึ่งธุรกิจ ไม่ได้เพิ่มธุรกิจใหม่ขึ้น แถมทำให้มีปัญหาอีก ถ้าลูกหลานเก่งจริง ก็ควรจะทำให้เป็น 1+1 = 2 ไม่ใช่ 1+1 = 1 และเป็นเกียรติแก่ตัวพวกเขาด้วย”
จากกลยุทธ์ไม่นำลูกหลานตัวเองเข้ามาทำงานในธุรกิจที่แข็งแกร่งแล้ว ผลลัพธ์ ก็คือ ซีพีสามารถรักษาผู้บริหารมืออาชีพเก่งๆ เอาไว้ได้ อีกทั้งทำให้ผู้บริหารเหล่านี้มองเห็นอนาคตของตัวเอง ด้วยการขยายธุรกิจออกไปอย่างต่อเนื่อง
“บางทีคนจะไม่เข้าใจผม ถามผมว่าคุณธนินท์ทำไมขยายธุรกิจไม่หยุดเลย ผมบอกว่าถ้าเป็นนักธุรกิจต้องไม่คิดถึงเฉพาะบริษัทนี้เท่านั้น แต่ต้องคิดถึงพนักงาน ต้องคิดถึงผู้บริหารว่าทำอย่างไรให้คนเก่งๆอยู่ต่อ ดังนั้นถ้าจะให้อยู่ต่อ ก็ต้องให้งาน ต้องให้อนาคตพวกเขาเห็นชัด ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก ผมจึงต้องพัฒนาและขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง” เจ้าสัวธนินท์ทิ้งท้าย

ที่มา : นิตยสาร M&W

วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ตลาดโรงเกลือ 2

หลังจากที่เคยเขียนแนะนำไปแล้ว เกี่ยวกับตลาดโรงเกลือ วันนี้เราจะมาแนะนำเกี่ยวกับเรื่องวงจรการบริการที่เกิดขึ้นในตลาดโรงเกลือ เนื่องจากตลาดโรงเกลือเป็นแหล่งรวมผู้คนจากหลากหลายพื้นที่ด้วยเป้าหมายคล้าย ๆ กัน นั่นคือการจับจ่ายซื้อของถูก เมื่อมีคนแยะ ก้อย่อมจะเกิดอาชีพใหม่ ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของถูกจากตลาดโรงเกลือไปขายผ่านหน้าร้าน, ขายผ่านอินเตอร์เน็ต, บริการรับจ้างขนของที่ตลาดโรงเกลือหรือแม้กระทั่งการรับจ้างหิ้วของที่ตลาดโรงเกลือ ซึ่งก้อนับว่าเป็นช่องทางหนึ่งที่สามารถทำรายได้อย่างมากทีเดียว

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจ รับจ้างหิ้วสินค้าจากตลาดโรงเกลือ ช่องทางที่คุณควรจะทำ นั่นคือการประกาศโฆษณา เว็ปไซต์ที่รับประกาศโฆษณานั้น มีอยู่มากมายอาทิเช่น pantip.com, sanook.com, http://www.thaibizcenter.com/, http://www.listdd.com, http://www.thaidbmarket.com/ ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว ราคาค่าบริการในการหิ้วจะแตกต่างกันไปตามขนาดและราคาของ มีตั้งแต่ 5 บาทจนถึงหลักพัน

หรือหากว่าคุณเป็นคนหนึ่ง ที่สนใจอยากฝากหิ้วของจากตลาดโรงเกลือโดยตรงละก้อ คุณสามารถหารายละเอียดได้ใน google โดยพิมพ์คำว่า “รับหิ้วสินค้า+โรงเกลือ” ค้นหาบริการรับหิ้วสินค้าจากตลาดโรงเกลือ ใน google click เลย เพื่อหารายชื่อของพ่อค้า แม่ค้าที่น่าเชื่อถือ เพื่อจะได้สั่งซื้อของ ส่วนมากจะรับออเดอร์กันทาง e-mail และโทรศัพท์ ตามที่โพสต์ในประกาศ

สุดท้ายนี้ ขอให้เพื่อน ๆ โชคดี ร่ำรวยทุกคนนะคะ

วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ตลาดโรงเกลือ1

เชื่อว่า พ่อค้าแม่ค้าหลายๆคน น่าจะคุ้นเคยกันดี กับตลาดสินค้าแบนด์เนม สินค้ามือสองที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ตลาดที่ว่านั่นคือ “ตลาดโรงเกลือ” ตลาดโรงเกลือด่านชายแดนอรัญประเทศ – ปอยเปต ตั้งอยู่ที่ ตั้งอยู่ที่บ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
ภายในตลาดโรงเกลือ ประกอบไปด้วย 5 ตลาดด้วยกัน คือ ตลาดโรงเกลือเก่า ตลาดเดชไทย ตลาดเทศบาล ๒ (ตลาดโรงเกลือใหม่) ตลาดเทศบาล ๓ ( ตลาดโกลเดนเกต) และตลาดเบญจวรรณ มีร้านค้าประมาณ 3,000 ร้าน เป็นแหล่งจำหน่ายสินค้ามือสองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีสินค้านานาชนิด ที่แต่ละวัน ตั้งแต่เช้าจรดเย็น จะมีนักท่องเที่ยวนับพันนับหมื่นโดยเฉพาะช่วงฤดูหนาว จะมีนักท่องเที่ยว มาจับจ่ายซื้อสินค้ามากที่สุด เดินทางมาจับจ่ายซื้อหาสินค้าแบรนด์เนมราคาถูก คุณภาพดี จากทั่วทุกมุมโลก มีเงินหมุนเวียนวันละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท และสูงขึ้น 10 เท่าในช่วงวันหยุด

สินค้าที่ขาย

มีทั้งสินค้าใหม่และเก่า เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เพชร พลอย เครื่องเงิน ปลาแห้ง ปลาย่าง ถ้วยชาม จากเขมร เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องเคลือบ ถ้วยชาม ผ้าม่าน ผลไม้จากประเทศจีน เวียดนาม แมลงสารพัดชนิด เช่น แมงป่อง ตั๊กแตน หนอนไม้ไผ่ ซึ่งแมลงที่นำมาขายถูกแรงงานชาวเขมรทำความสะอาด เบื้องต้นด้วยการเด็ดปีก เด็ดหาง ล้างน้ำ แล้วเก็บไว้ในห้องเย็นและใส่กระสอบ เตรียมขายต่อไป

ตลาดโรงเกลือเป็นศูนย์กลางสินค้าแบรนด์เนมมือหนึ่งและมือสองจากทั่วโลก เกาหลี ฮ่องกง ญี่ปุ่น ปากีสถาน ฝรั่งเศส อเมริกา อังกฤษ เยอรมนี

ที่มาที่ไปของสินค้าแบรนด์เนม

จุดเริ่มต้นการกำเนิดของสินค้ามือสองในตลาดโรงเกลือ คือ สมัยที่ กัมพูชาเพิ่งเสร็จสิ้นภาวะสงคราม ชาวเขมรยังยากจน นานาประเทศ ได้บริจาคเสื้อผ้าดี ๆ มียี่ห้อ ผ่านองค์การสหประชาชาติ ให้ชาวเขมร ชาวเขมรจึงนำเสื้อผ้าที่ไดรับบริจาคข้ามมาขายฝั่งไทยในราคาถูก

ปัจจุบันสินค้ามือสองที่เป็นของบริจาคไม่มีแล้ว ที่วางขายทุกวันนี้ ส่วนมากเป็นของเหลือใช้ ที่มีการรับซื้อจากประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น ฮ่องกง นำมาขายต่อที่ตลาดโรงเกลือ จ. สระแก้ว ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด ในบรรดาตลาดที่รับซื้อสินค้ามือสองจากต่างประเทศ

ส่วนสินค้าประเภทรองเท้า กระเป๋า เสื้อกันหนาว จะถูกคัดแยกใส่ตู้ คอนเทนเนอร์มาขึ้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ส่วนกางเกงยีนส์ และกางเกงอื่นๆ จะถูกบรรทุกผ่านมาทางท่าเรือกำปงโสม ประเทศ กัมพูชา กางเกงยีนส์บางตัวมียี่ห้อ ราคาแพง เมื่อถูกซ่อมแซมแล้ว จะถูกส่งไปขายที่ประเทศญี่ปุ่น



เมื่อสินค้ามาถึงตลาดโรงเกลือ พ่อค้าคนกลางจะนำคนงานไปคัดแยกตามสภาพความใหม่เก่า เพื่อกำหนดราคาขาย ต่อจากนั้น ทำความสะอาด ชิ้นไหนชำรุดก็ซ่อมแซม บางชิ้นถ้าไม่ชำนาญจริง ๆ จะดูไม่ออกเลยว่าเป็นของมือสองทั้ง ๆ ที่ถูกซ่อมมาแล้ว



ข้อแนะนำการซื้อ

ควรพิจารณาสินค้าให้ถ้วนถี่ เนื่องจากสินค้าที่ขายในตลาดโรงเกลือ โดยเฉพาะสินค้า แบรนด์เนมมีทั้งของแท้และของเทียม กางเกงยีนส์ลีวายส์ริมแดง จากเดิมราคา 1,500-2,000 บาท สามารถซื้อได้ ในราคา 700 - 950 บาท แต่ถ้าตาไม่ดีจะได้ของเทียมในราคาเท่าของแท้

ที่มา : http://www.moohin.com/



วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การตลาดออนไลน์

วิกฤตน้ำท่วมที่กำลังเกิดขึ้นในจังหวัดต่างๆ เกือบครึ่งประเทศ ทำให้ได้รับผลกระทบไปในทุกระดับตั้งแต่ชาวบ้านไปจนถึงเจ้าของธุรกิจใหญ่ระดับพันล้านบาท ทำให้นักการตลาดหลายคนเริ่มวิเคราะห์กันแล้วว่า หลังจากผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปได้แล้ว เราทุกคนจะเริ่มต้นตรงไหนต่อไป?

สำหรับในมุมของผู้ประกอบการแล้ว การจะย่างก้าวต่อไปควรจะไปในทิศทางใดเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะสิ่งที่มีอยู่ในมือคงเป็นเรื่องที่จำกัดและต้องการการบริหารที่ดี ถึงแม้ผู้ประกอบการบางรายอาจจะไม่ได้รับผลกระทบในทางตรงมากนัก แต่ในทางอ้อมแล้วอาจจะเกิดผลกระทบในฝั่งของคู่ค้าอาจจะเป็นได้

แนวทางหนึ่งที่น่าสนใจและกำลังเป็นกระแสของโลกในปัจจุบัน เนื่องจากมีข้อจำกัดน้อยและมีข้อดีมากมายหลายประการสำหรับการค้าในปัจจุบันนี้ก็คือ การทำตลาดแบบออนไลน์ ดังจะเห็นได้จากประสิทธิภาพของโลกออนไลน์ในช่วงวิกฤตน้ำท่วมว่า ถึงแม้การเดินทางจะเป็นไปอย่างลำบาก การพบปะพูดคุยแบบนั่งโต๊ะเจรจาจะทำไม่ได้ แต่การสื่อสารผ่านสังคมออนไลน์สามารถทำได้ในทุกๆ วินาที ทำให้เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่เปิดรอรับสำหรับการดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

มาเปลี่ยนวิกฤตน้ำท่วม ให้เป็นโอกาสทางธุรกิจ ด้วยการเริ่มทำตลาดออนไลน์กันดีกว่า?

ในช่วงเริ่มต้น การตลาดแบบออนไลน์อาจเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ รวมถึงผู้ประกอบการที่กำลังดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว แต่การศึกษาหาข้อมูล และการทำความเข้าใจในวิธีการทำตลาดออนไลน์ที่ดี จะสามารถนำเอาข้อมูลดังกล่าวไปใช้เพิ่มเติมความเข้าใจได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้ธุรกิจออนไลน์ของผู้ประกอบการในแต่ละราย สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้อิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องมือเชิงพาณิชย์นั้น สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการธุรกิจได้ด้วยงบประมาณที่น้อยมากหรือประหยัดที่สุด ทั้งในเรื่องของจุดจำหน่ายสินค้าที่ไม่จำเป็นต้องเปิดหน้าร้าน หรือมีพนักงานขาย ด้วยซ้ำ เพียงแค่มีหน้าร้านเว็บไซต์ หรือสร้างเว็บไซต์ให้กับตัวเอง คุณก็สามารถมีหน้าร้านที่เป็นช่องทางจัดจำหน่ายที่สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อได้ทั่วโลก พร้อมเปิดจำหน่ายได้ตลอด 24 ชั่วโมง ใน 7 วัน บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่มีผู้ใช้ทั่วโลกหลายร้อยล้านคน

สำหรับขั้นตอนการทำธุรกิจออนไลน์มีขั้นตอนง่ายๆ แต่สำคัญที่ผู้ประกอบการต้องเริ่มทำคือ การที่มีรูปภาพของสินค้าที่สามารถบอกรายละเอียด และสัดส่วนได้อย่างชัดเจน หลังจากนั้นก็ให้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของเว็บไซต์ B2B หลายๆ แห่งเพื่อสร้างเครดิตให้กับสินค้าและธุรกิจ โดยปัจจุบันเว็บไซต์ประเภทนี้มีมากกว่า 18,000 เว็บไซต์ ซึ่งผู้ประกอบการอาจเริ่มสมัครจากเว็บไซต์ในกลุ่มประเทศที่ต้องการจำหน่ายสินค้า หรือจากเว็บไซต์ของประเทศตนเองที่คู่ค้าให้ความเชื่อถือเมื่อต้องการสินค้าจากประเทศนั้นๆ เช่น ประเทศจีนมี Alibaba.com ฮ่องกงมี HKTDC.com เกาหลีมีเว็บไซต์ TradeKorea.com ในญี่ปุ่นมี Rakuten.com by Jetro ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เน้นทำธุรกิจ business matching ซาอุดีอาระเบีย มีเว็บไซต์ tradekey.com และสำหรับประเทศไทยก็มีเว็บไซต์ Thaitrade.com เป็นต้น และที่สำคัญคือ การจัดทำเว็บไซต์ของตัวเอง ซึ่งการลงทุนต่ำสุดประมาณ 6,000 บาท ทั้งนี้ เพราะเว็บไซต์เป็นเสมือนกับหน้าร้านที่สามารถบอกเล่าเรื่องราว ความเป็นมาของบริษัท รวมทั้งรายละเอียดของสินค้าได้มากกว่าเว็บไซต์ B2B ที่เป็นสมาชิก ซึ่งมีสมาชิกมากมายอยู่ในนั้น การจัดทำเว็บไซต์จึงเป็นการรองรับการทำธุรกิจอย่างแท้จริง

สิ่งสำคัญอีกประการสำหรับการทำธุรกิจออนไลน์คือ สินค้าต้องมีจุดเด่นและความแตกต่าง เพราะเว็บไซต์เป็นเหมือนถนนที่คนต้องเดินผ่าน หากสินค้าไม่สะดุด คนก็ไม่หยุดดู ดังนั้น สินค้าต้องมีจุดเด่น และแตกต่าง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณประสบความสำเร็จได้

ด้วยความสำคัญและเป็นรูปแบบการตลาดที่ยังเปิดกว้างไร้ขอบเขตให้กับผู้ประกอบการทุกราย รวมถึงสามารถเริ่มได้ในทันที แม้สภาพเมืองไทยจะกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตน้ำท่วมขณะนี้ เพียงแค่คลิกเข้ามาที่ www.thaitrade.com กรอกแบบฟอร์มสมัคร พร้อมรายละเอียดของธุรกิจให้มากที่สุด โดยเฉพาะผู้มีประสบการณ์ด้านการส่งออกอยู่แล้ว โอกาสความก้าวหน้าทางธุรกิจพร้อมกับการเป็นเจ้าของร้านค้าออนไลน์บนเว็บไซต์ thaitrade.com ซึ่งเป็นช่องทางการจำหน่ายสินค้าไทยให้สามารถกระจายไปทั่วโลก การันตีได้ด้วยความสำเร็จของกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหน่วยงานที่ทำหน้าที่บริหารจัดการ ภายใต้ชื่อโครงการตลาดกลางซื้อขายทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ B2B E-Marketplace อย่างเป็นทางการของประเทศไทย

Thaitrade.com เป็นตลาดกลางการซื้อขายสินค้าไทยแบบ B2B (หรือ B2B E-Marketplace) อย่างเป็นทางการของประเทศไทย จัดทำโดยกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ เพื่อเป็นช่องทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการ และผู้ส่งออกไทย เนื่องจากเล็งเห็นความสำคัญของการค้าบนโลกออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันการดำเนินธุรกิจทั่วโลก หันมาใช้อีคอมเมิร์ซเป็นส่วนใหญ่ และมีแนวโน้มการเติบโตที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามจำนวนของผู้ที่เข้าใช้อินเตอร์เน็ตที่เพิ่มมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ ยังเป็นการพัฒนาศักยภาพผู้ส่งออกไทยให้ก้าวสู่โลกการค้าในตลาดออนไลน์แบบ B2B ให้ประสบผลสำเร็จ ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าการค้าแบบออฟไลน์

ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถสมัครเข้าใช้บริการเว็บไซต์ได้ฟรี สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ DEP Call Center (02) 685-1169 , อีเมล์ ecommerce@depthai.goth , ecommerce.dep@gmail.com หรือที่www.facebook.com/ThaitradeDotCom ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | Justin Bieber, Gold Price in India