วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555

อาชีพอิสระ-ตุ๊กตาไหมพรม (bAntAktor)

        ตุ๊กตาไหมพรมของ “บ้านถักทอ” (bAntAktor) ไม่ได้เป็นเพียงของเล่นธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่งเท่านั้น แต่ได้สร้างบุคลิกให้ตุ๊กตาแต่ละตัว และเปิดโอกาสให้เจ้าของได้สนุกสนานที่จะเลือกเครื่องแต่งกายสำหรับตุ๊กตาตัวโปรด นับเป็นไอเดียสุดเก๋ที่สร้างจุดเด่น และเพิ่มมูลค่าแก่ผลิตภัณฑ์ ที่สำคัญ เบื้องหลังการผลิต มีที่มาจากการสืบสานงานฝีมือถักทอของชาวเชียงคำ จ.พะเยา และยังช่วยสร้างงานแก่ชุมชนบ้านเกิดด้วย
bAntAktor
       วิธีสร้างความน่าสนใจของผลิตภัณฑ์ “บ้านถักทอ” ได้ออกแบบตุ๊กตาเป็นตัวละครเด็ก 3 ตัว ที่มีลักษณะแตกต่างกันไป ทั้งหน้าตา ทรงผม และบุคลิก ได้แก่ “น้องถัก” อุปนิสัยเรียบร้อยน่ารัก “น้องทอ” เป็นเด็กขี้เล่น สดใส และ “น้องโบโซ่” บุคลิกแสบซ่ายียวน โดยจะมอบหน้าที่ให้ผู้ซื้อ เลือกเครื่องแต่งกายต่างๆ มาสวมใส่ให้แก่ตุ๊กตาตัวโปรดตามความพอใจ มีให้เลือกทั้ง เสื้อ กางเกง กระโปรง หมวก ผ้าพันคอ รองเท้า กระเป๋า เป็นต้น
bAntAktor3
        นอกจากนั้น อีกเอกลักษณ์ที่สื่อถึงความเป็นสินค้าจากเชียงคำอย่างเด่นชัด คือ การนำผ้าพื้นเมืองของชาวไทยภูเขาในท้องถิ่น เช่น ผ้าปัก ผ้าพื้นบ้าน ผ้าขาวม้า เป็นต้น มาผสมผสานทำเป็นเครื่องแต่งกายต่างๆ ของตุ๊กตาด้วย
       “ใน อ.เชียงคำ มีชาวไทยภูเขาอาศัยอยู่จำนวนมาก ซึ่งเครื่องแต่งกายของชาวไทยภูเขา ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งคนทั่วไปนึกถึงได้เป็นอย่างดี ดิฉันจึงหยิบผ้าพื้นบ้านมาทำเป็นเครื่องแต่งกายของตุ๊กตา แต่ปรับดีไซน์ให้ดูทันสมัยขึ้น ขณะที่ การถักทอต่างๆ เป็นแฮนด์เมดจากฝีมือของชาวเชียงคำ ตัวจริงเสียงจริง 100% เพื่อสื่อให้เห็นว่าเป็นสินค้าจากชุมชนจริงๆ” สายอรุณ และยังผลิตเสื้อผ้าตุ๊กตาซึ่งมีแบบให้เลือกหลากหลาย       หมวกตุ๊กตา      รองเท้าตุ๊กตา
        ตัวตุ๊กตา มีให้เลือก 4 ขนาด ได้แก่ เล็ก กลาง ใหญ่ และใหญ่พิเศษ เริ่มจากความยาวประมาณ 25 เซนติเมตรถึงใหญ่สุดประมาณ 80 เซนติเมตร ส่วนเครื่องแต่งกายต่างๆ ของตุ๊กตา มีให้เลือกหลายประเภท หลากสีสัน แต่ละประเภทมีหลายสิบแบบ ส่วนราคาขาย ถ้าเป็นตุ๊กตาตัวเล็ก+เครื่องแต่งกาย 1 ชุด 350-380 บาท (แล้วแต่อุปกรณ์) ส่วนตัวใหญ่สุด+เครื่องแต่งกาย 1 ชุด 800-950 บาท (แล้วแต่อุปกรณ์) ขณะที่เครื่องแต่งกายต่างๆ สามารถซื้อเพิ่ม แยกชิ้นได้ ราคาเริ่มต้นที่ชิ้นละ 30 บาท นอกจากนั้น ยังมีผลิตภัณฑ์เสริมอื่นๆ ไว้ให้เลือกสรร เช่น พวงกุญแจ กระเป๋า เสื้อ เป็นต้น ทั้งหมดคงเอกลักษณ์เป็นงานถักไหมพรมเช่นเดิม
bAntAktor2
        สายอรุณ ระบุว่า ขั้นตอนการทำงาน ส่วนตัวจะเป็นคนออกแบบตุ๊กตา และผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมถึง จัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่สำคัญ ได้แก่ ไหมพรม คอตตอน 100% คุณภาพสีไม่ตก เนื้อนุ่น ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับทำเสื้อถักไหมพรมเพื่อการส่งออก กับใยสังเคราะห์สำหรับยัดใส่ตัวตุ๊กตา ขณะที่ด้านการผลิตเป็นฝีมือชาวบ้านล้วนๆ ปัจจุบัน มีสมาชิกกว่า 40 คน โดยเฉลี่ยแต่ละคนจะมีรายได้เสริมจากอาชีพนี้ ประมาณ 1,000-3,000 บาทต่อเดือน
         “อาชีพหลักของชาวบ้าน ยังทำเกษตร แต่อาชีพนี้ มาช่วยสร้างรายได้เสริม แม้จะไม่มากนัก แต่ชาวบ้านก็พึงพอใจ เพราะเขาสามารถทำงานได้ที่บ้านตัวเอง อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญ เราต้องพยายามปรับการทำงานให้สอดคล้องกับวิถีชุมชน เช่น ต้องทำสต็อกสินค้าไว้ก่อนเข้าฤดูเก็บเกี่ยว หรือตอนมีออเดอร์จำนวนมากเข้ามา ก็ต้องสื่อสารให้ชาวบ้านเข้าใจว่า ต้องช่วยกันรับผิดชอบผลิตงานให้ตรงตามนัดหมาย” ประธานกลุ่ม กล่าว
        ด้านช่องทางขายเวลานี้ มีตัวแทนรับไปวางที่แหล่งท่องเที่ยวใน จ.เชียงใหม่ และหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ รวมถึง ออกงานแฟร์สินค้าชุมชน นอกจากนั้น ยังมีออเดอร์สั่งไปขายต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น เป็นต้น โดยเฉลี่ยยอดขายประมาณ 200-300 ตัวต่อเดือน ขณะที่กำลังผลิตยังเพียงพอ สามารถทำได้สูงสุดประมาณ 500 ตัวต่อเดือน
       หากท่านผู้ใดสนใจ สามารถติดต่อได้ทางเบอร์โทร.08-1950-7008

วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ฝึกอาชีพ เดือนธันวาคม 2555

วันนี้ หยิบเอาตารางหลักสูตรฝึกอาชีพของศูนย์มติชน สำหรับในเดือนธันวาคม 2555 มาฝากค่ะ เป็นหลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้น ใช้เวลาอบรมเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น คุณก็มีความรู้สามารถนำไปประกอบอาชีพได้แล้ว น่าสนใจใช่ไหมล่ะคะ ราคาค่าคอร์สอบรม ก็ไม่เกิน 3000 บาท เป็นราคาที่ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุนเป็นอย่างยิ่งค่ะ
ฝึกอาชีพ ธันวาคม2555

ส่วนเส้นทางการเดินทางไปยังศูนย์ฝึกอาชีพมติชน ตามแผนที่ข้างล่างนี้เลยค่ะ

_thumb2
สุดท้ายนี้ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน มีความสุข ร่ำรวยทุกท่านนะคะ
ที่มา : http://www.matichonacademy.com/

วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555

"Fresh box" ร้านสลัดสไตล์นุ่น ศิรพันธ์

ในบรรดานักแสดงชื่อดังของช่อง 3 ชื่อของ “นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา” ก็อยู่ในทำเนียบนั้นด้วย ล่าสุดโด่งดังจากบท “ผีอีแพง” ในละครเรื่อง “บ่วง” ซึ่งแม้จะลาจอไปแล้ว แต่ไปที่ไหนๆ ก็ยังมีคนพูดถึงตลอด และแม้ช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมนี้จะยังไม่มีละครของเธอออนแอร์ แต่สาวนุ่นก็มีผลงานให้แฟนๆ ได้หายคิดถึงทั้งในการแสดงละครเวทีเรื่อง “กุหลาบสีเลือด” และงานพิธีกรรายการ “พราว”

ลูกค้ามากันตึม ที่นั่งไม่พอ
หากติดตามข่าวคราวในวงการบันเทิง จะเห็นได้ว่าใช่แต่สาวนุ่นจะเป็นนักแสดงมากฝีมือเท่านั้น เธอคนนี้ยังเก่งในเรื่องการออกแบบตกแต่งด้วย เห็นได้จากผลงานตกแต่งร้านของตัวเองชื่อร้าน “FRESH BOXX Salad Cafe” โดยนำตู้คอนเทนเนอร์มาทำเป็นร้านสีสันฉูดฉาดเตะตา อยู่ริมถนนเลียบคลองทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา (ติดกับหมู่บ้านมัณฑนา) ซึ่งแม้จะเพิ่งเปิดมาได้แค่ 3 เดือน แต่ปรากฏว่าผลตอบรับดีเกินคาด ลูกค้ามากันเนืองแน่น ทำเอาโต๊ะที่มีอยู่ไม่เพียงพอ
วันก่อนมีโอกาสนั่งสนทนากับนางเอกสาวถึงธุรกิจร้าน “FRESH BOXX” รวมถึงเพื่อนสาวที่ร่วมหุ้นกับเธอ “คุณสาวิตรี น้อยพจนา”

นักแสดงสาว เล่าว่า “นุ่นดูแลเรื่องของการตกแต่งร้านและพีอาร์ ส่วนเพื่อนจะทำอาหารอย่างเดียว เพราะเรียนออกแบบมาด้วยกัน แต่เพื่อนจบเชฟมา ทำอาหารเก่ง  FRESH BOXX เป็นร้านเล็กๆ ทำกัน 2 คน จุดเด่นของร้านคือ เป็นร้านขายสลัด ก็มีผัก เป็นเมนูที่เลือกเองได้ ชอบทานผักอะไรก็สั่งได้ มีน้ำสลัดหลากหลาย เหมือนมีชอยซ์ให้เลือก ชอบแบบไหนก็เลือกได้ และมีพาสต้า เราทำเมนูน้อย ไม่ได้เยอะมาก แต่เน้นคุณภาพ”

ชื่นชอบงานดีไซน์อิงธรรมชาติ
ส่วนการตกแต่งร้านนั้น นุ่น แจกแจงว่า “เราพยายามแต่งร้านให้มันเก๋ๆ ไม่เหมือนใคร ใช้ตู้คอนเทนเนอร์ติดแอร์เรียบร้อย ตอนนี้มี 4 ตู้ เปิดเฉพาะข้างล่าง ข้างบนเรายังไม่พร้อมเท่าไหร่ ยังปิดอยู่ ให้ผ่านพ้นช่วงหน้าฝนไปก่อน ลองเปิดร้านมาตั้งแต่เดือนเมษายน ที่ผ่านมาฟีดแบ็กดี คนจะชอบสีร้าน เพราะสีร้านจะฉูดฉาด และมีกิมมิกเล็กๆ น้อยๆ เช่นทำเบาะไม่เหมือนคนอื่น ทำโคมไฟกันเอง บางสิ่งบางอย่างประดิษฐ์กันเอง

ในเรื่องการดีไซน์ จริงๆ นุ่นชอบแบบเรียบๆ แต่แอบมีกิมมิกนิดหน่อย อย่างที่ร้านอาจจะตอบโจทย์กับลูกค้าเรา คือกลุ่มนักศึกษา ต้องการความสดใส ไลฟ์สไตล์แบบสบายๆ เลยใช้สีแบบฉูดฉาด แต่ถ้าถามความเห็นนุ่น ส่วนตัวเป็นคนชอบแบบเรียบๆ น้อยๆ อิงธรรมชาติ”

นุ่น บอกด้วยว่า ในช่วงทำร้านแรกๆ นั้น เธอเป็นคนลงมือปลูกหญ้าเอง ปิดหน้าปิดตาใส่เสื้อคลุมมิดชิด คนผ่านไปผ่านมาก็ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร ลุงคนหนึ่งผ่านมาถามว่าซื้อตู้คอนเทนเนอร์มาราคาเท่าไหร่ และยังไม่ทันที่เธอจะออกปากตอบคำถาม ลุงคนนั้นก็บ่นพึมพำว่า เออเป็นคนงานเป็นลูกจ้างคงไม่รู้เรื่องหรอก แล้วก็เดินออกไป ซึ่งเธออยากจะบอกเหลือเกินว่า “หนูรู้ซิเพราะเป็นคนซื้อมาเอง”

ในการทำร้านดังกล่าว สาวนุ่น ยืนยันว่า “ทำแบบพอดีๆ พอเพียง มีแค่ 6 โต๊ะ มีเคาน์เตอร์บาร์อีกแค่ 6 ที่ ไม่ได้เยอะมาก ถ้าในร้านนั่งได้ประมาณ 30 กว่าคน ถ้าข้างนอกฝนไม่ตกก็นั่งได้ 40 กว่าที่ ในอนาคตจะขยายให้มันดีขึ้น แต่ตอนนี้ยังไม่ลงตัวเรื่องของคนด้วย”

เมื่อเข้าไปในร้านจะเห็นโคมไฟของร้านเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่เคยเห็นที่ไหน ทำเป็นกรงตาข่ายเล็กๆ สีสดใส สวยทีเดียว ลูกค้าบางรายเข้ามาใช้บริการแล้วชอบอกชอบใจ ถึงกับสอบถามว่าซื้อจากที่ไหน ประเภทอยากจะซื้อไปใช้บ้าง
บรรยากาศในร้าน ถ้าลูกค้าบางคนชอบแบบเป็นส่วนตัวหน่อยอาจจะเข้าไปในห้องด้านในสุด ที่มีอยู่ 2 โต๊ะ อยู่คนละมุม เป็นแบบนั่งกับพื้นสไตล์ญี่ปุ่น ส่วนถ้าใครชอบนั่งเก้าอี้ก็มีให้เลือกทั้งในห้องและนอกห้อง

เมนูยอดฮิต
สำหรับเมนูยอดฮิตของร้านนั้น นุ่น บอกว่า “ลูกค้าจะชอบพาสต้า เพราะเพื่อนทำพาสต้าอร่อย โดยเฉพาะสควิดอิงก์ซอส
นอกจากนี้ น้ำสลัดที่ร้านจะไม่เหมือนที่อื่น จะมีเอกลักษณ์ของเราเอง มีหลายรสชาติ มีแบบครีมรสเผ็ด รสจัดจ้าน อย่างน้ำสลัดญี่ปุ่นจะปรุงไม่เหมือนที่อื่น มีรสชาติแตกต่างนิดหน่อย และผักที่ใช้ก็มีทั้งผักปลอดสารพิษ และผักจากโครงการหลวง อย่างสลัดเริ่มต้นที่ 69 บาท ไม่แพงเลย ถ้าเทียบกับคุณภาพที่ใช้ เรารู้สึกว่าเหมือนชวนเพื่อนมาทานข้าวที่บ้าน นุ่นเองก็ชอบทานสลัด เราก็อยากใช้ของดีๆ มารับแขกเหมือนบ้านเรา ถ้าเทียบกับปริมาณ คุณภาพ ถือว่าราคานี้ถูกมาก ราคาแพงสุดคือพาสต้าสควิดอิงก์ซอส จานละ 220 บาท เราใช้หมึกของปลาหมึกมาทำ ก็จะเป็นสีดำ เป็นรสชาติเฉพาะ ส่วนพาสต้าอื่นๆ ประมาณแค่ 130 บาท”

ถามงบประมาณที่ลงทุนไป นุ่นขออุบไว้ก่อน แต่บอกว่า เป็นหลักล้าน และคิดว่าปีหนึ่งก็น่าจะคืนทุนได้แล้ว

“ตอนนี้ยังไม่คิดแบบซีเรียสมาก เพราะเราทำด้วยใจรัก เรื่องบิสซิเนสยังไม่ได้เด่นกว่า อีกทั้งนุ่นเพิ่งเรียนจบด้าน

งานออกแบบพร้อมเพื่อน เลยอยากทำงานดีไซน์ มาช่วยกันตกแต่งร้านกัน”

เห็นฝีมือการตกแต่งร้านของเธอแล้ว ต้องบอกว่าใช้ได้เลย เพราะแม้จะใช้สีจัดจ้านตกแต่งตู้คอนเทนเนอร์ แต่หน้าร้านจะใช้หญ้าเม็กซิกัน ทำให้บรรยากาศนอกร้านดูเป็นธรรมชาติดี ซึ่งการที่นางเอกสาวมาทำร้านอาหารทำให้หลายคนอาจจะคิดว่าเธอชอบทำธุรกิจอาหาร แต่นุ่น อธิบายว่า

“จริงๆ แล้วการทำร้านอาหารไม่ใช่เป้าหมายหลักของนุ่น แต่เป็นเรื่องการแต่งร้านต่างหาก คือนุ่นชอบทำงานดีไซน์ อยากจะทำงานแต่งบ้าน อยากจะทำงานโปรดักต์ แต่ว่าร้านนี่ก็เป็นของเราเอง คือตอนนี้เรายังไม่ได้มีลูกค้า ลูกค้าคือตัวเรา ตอบโจทย์ว่าอยากได้ร้านแบบนี้ๆ ทาร์เก็ตลูกค้าเป็นแบบนี้”

อย่างที่เกริ่นให้ทราบแต่ต้นแล้วว่า นางเอกสาวหน้าไทยคนนี้งานค่อนข้างเยอะ ฉะนั้น ถ้าใครอยากจะเจอเจ้าของร้านคนสวยในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมนี้อาจจะผิดหวังบ้าง

“ถ้าอยากเจอนุ่น ต้องวัดดวงเลย ช่วงเดือนสองเดือนนี้ยุ่ง แล้วก็เวลาไม่เป็นเวลา บางทีอาจจะเลิกเร็วสักทุ่มหนึ่งก็จะดิ่งไปร้านแล้ว อาจจะเข้าร้าน 2 ทุ่ม 2 ทุ่มครึ่ง แต่จะไม่เป็นเวลามาก เพราะช่วงนี้ต้องซ้อมพิธีกรกับซ้อมละครเวที”
สำหรับกลุ่มลูกค้าที่มาอุดหนุนร้านเธอนั้น เจ้าตัวแจกแจงว่า “มีหลายแบบมาก ช่วงแรกๆ ที่ประชาสัมพันธ์ไป ช่วงนั้นละครนุ่นกำลังออนแอร์จะมีแบบเป็นครอบครัว อยากเจอจะมาที่ร้าน คุณป้าบางคนบอกอยากมาดูอีแพงตัวจริง ซึ่งร้านเราอยู่แถวศาลายา ใกล้มหาวิทยาลัยมหิดล อยู่ก้ำกึ่งระหว่างพุทธมณฑล สาย 3 กับสาย 4 ลูกค้าจะเป็นกลุ่มเป็นนักศึกษาบ้าง เป็นครอบครัวหมู่บ้านแถวๆ นั้นบ้าง”

ร้าน FRESH BOXX เปิดขายทุกวัน เริ่มเวลา 16.00-22.00 น. แต่จะหยุดทุกวันอังคาร ถ้าจะมารับประทานที่ร้านโทรศัพท์จองได้ที่ (02) 800-2962 หรือเข้าไปดูในhttp://www.facebook.com/FreshBoxxSaladCafe
สำหรับปัญหาอุปสรรคที่ร้านนางเอกสาวเจอะเจอ เจ้าตัวเล่าว่า “หนึ่ง คนเราไม่พอ เดิมทีเรากะทำกันแบบว่าเปิดบ้านให้เพื่อนมาหา ทำกันเล็กๆ แต่ว่าช่วงแรกๆ พอคนทราบเขาจะมากัน เราก็ดีใจแต่ว่าเนื้อที่เราจำกัด คือตู้คอนเทนเนอร์มันไม่ได้ใหญ่ ช่วงแรกๆ จะมีปัญหาว่าคนมาแล้วไม่มีที่นั่ง บางทีมาของหมด เพราะเรากะคนช่วงแรกๆ ไม่ถูก นอกจากนี้ บางคนเข้าใจว่าสลัดกับพาสต้าต้องเร็ว อารมณ์แบบฟาสต์ฟู้ด ทั้งที่ต้องใช้เวลาเหมือนกัน ทำทีละจาน ดังนั้น จะมีปัญหาในการแมเนจเวลาบริการ แต่ก็จะทำให้มันดีขึ้น ซึ่งก็ยังแก้ได้ไม่ทั้งหมด”

ตั้งบริษัท Goodnoonday
แม้งานในวงการบันเทิงจะยุ่งเหยิงเพียงใด แต่ด้วยใจรักงานดีไซน์ สาวนุ่นก็เปิดบริษัทดีไซน์เตรียมพร้อมไว้แล้ว

“นุ่นเปิดบริษัทดีไซน์อยู่แล้ว ชื่อบริษัท Goodnoonday ทำคนเดียวไม่ได้หุ้นกับใคร แต่ยังไม่ได้เริ่มทำจริงจัง เพราะตั้งแต่เรียนจบมา (ปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) ก็ถ่ายละคร ทำโน่นทำนี่อยู่ เป็นงานในวงการบันเทิง ร้านนี้ถือเป็นลูกค้ารายแรกของตัวเอง ที่ผ่านมาก็ดีไซน์เฉพาะที่บ้านของตัวเอง หลังจากนี้ถ้างานน้อยลงคงจะหันมาทำงานด้านดีไซน์มากขึ้น ซึ่งถ้าใครจะมาจ้างคงต้องคุยกันก่อน เพราะนุ่นว่าเขายังไม่เคยเห็นงานนุ่นเลย”

สำหรับธุรกิจร้านอาหารที่ไปได้ดีนั้น นุ่นยอมรับว่า “ความเป็นดารามีส่วนอยู่แล้วเพราะคนเข้ามารู้จักว่านี่ร้านนุ่น หรือมาเพราะข่าว ได้ดูก็มีส่วน อย่างไรก็ตาม ในที่สุดร้านอาหารไม่ได้ขายความเป็นดารา มันต้องขายคุณภาพและรสชาติอันดับหนึ่ง ถ้าเกิดมาแล้วไม่ประทับใจ ไม่อร่อยไม่ชอบ ร้านนั้นก็จะอยู่ไม่ได้”

นับเป็นนางเอกสาวที่นอกจากจะมีผลงานการแสดงอยู่ในระดับแถวหน้าแล้ว ยังมีความรู้ความสามารถในเรื่องงานดีไซน์อีกต่างหาก ต่อไปเชื่อว่าคงมีลูกค้ามาใช้บริการกันเป็นแถว แต่ตอนนี้ถ้าใครอยากจะดูผลงานด้านการตกแต่งก็ต้องไปแวะชมที่ร้าน FRESH BOXX กันก่อน แล้วจะรู้ว่าสาวนุ่นนั้นไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

................

สาวิตรี น้อยพจนา

“เรียนจบครัวและภัตตาคารมาจากวิทยาลัยดุสิตธานี เคยทำครัวเย็นมาก่อนที่ร้านอาหารของรุ่นพี่ในกรุงเทพฯ และตอนมาเรียนที่สถาบันออกแบบนานาชาติชนาพัฒน์ วัดธรรมมงคล ได้มาเจอกับนุ่น

ราคาสลัดเริ่มต้น 69 บาทนั้น เป็นสลัดผักธรรมดาๆ แต่ถ้าจะใส่ท็อปปิ้งหน้าต่างๆ จะต้องเพิ่มเงิน ซึ่งมีท็อปปิ้งให้เลือกจำนวนมาก อย่างเช่น ทูน่า เห็ดออรินจิย่าง เบคอน แซลมอน และกุ้ง ส่วนพาสต้าก็มีสควิดอิงก์ซอสที่ใช้หมึกสด และมีรสเผ็ดจากพริกแห้ง ซึ่งเราพยายามเน้นของสด แล้วก็ยังมีพาสต้าครีมมี่ไข่กุ้ง

สลัดรสจัดจ้านนั้นเป็นสูตรของที่ร้าน ออกรสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ เน้นอร่อย ถ้าจะลดความอ้วนจะเป็นน้ำสลัดบัลซามิก ซึ่งจะมีส่วนผสมของน้ำส้มบัลซามิก มีโอลีฟออยล์ และกระเทียม เพื่อสุขภาพ

พวกน้ำสลัดทุกอย่างทางร้านจะทำเอง เราเลือกใช้ของดี มีคนถามว่าทำน้ำสลัดขายไหม ตอนนี้คงไม่เพราะคอสต์น้ำสลัดเราสูง เราเลยไม่ได้ทำขาย ถ้าขายจะแพง เพราะใช้โอลีฟออยล์ ใช้เอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น บางที่ใช้ของถูก เป็นปี๊บๆ ร้านเราทำในแบบที่ว่าเหมือนเราทานอะไรไปก็ทำอย่างนั้นขาย ขายแบบเอาสนุก ไม่ได้หวังกำไรเยอะ เน้นขายปริมาณมากกว่า ให้ลูกค้าสั่งเยอะ ไม่ได้คิดว่า 1 จานจะได้กำไรเยอะ ให้เป็นราคาที่อยู่กันได้ทั้งลูกค้าและทางร้าน

ท็อปปิ้งที่ลูกค้าสั่งจะเฉลี่ยคละๆ กันไป แต่ส่วนมากจะสั่งเห็ดย่าง ที่นี่จะให้เยอะเป็นเห็ดออรินจิย่างแค่ 20 บาท แต่ต่อไปจะปรับขึ้น ท็อปปิ้งนี้ถือว่าถูกที่สุด และให้เยอะ

ช่วงที่ลูกค้าเข้ามาเยอะคือ 5 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม ลูกค้าจะเป็นนักศึกษามหิดลและคนแถวนี้ จะมีหน้าใหม่มาบ้าง ส่วนมากจะมาวันเสาร์วันอาทิตย์ เหมือนมาลองทาน ที่ผ่านมาลูกค้าก็มีซื้อกลับบ้านด้วยเพราะเขาขี้เกียจรอ ผู้ปกครองบางคนมารับลูกหลานก็ซื้อกลับไปบ้าน

ปัญหาที่ลูกค้าบ่นคือ โต๊ะไม่พอ อาหารมาช้าเพราะบางทีมาเยอะ เพราะตอนแรกเราตั้งใจให้เป็นคอมมูนิตี้เล็กๆ นักศึกษามานั่งทาน ครอบครัวมานั่งทานกัน

ตอนนี้แม้ที่นั่งไม่พอ แต่ยังไม่คิดจะขยายต้องดูอีกสักปีสองปี อาจจะเข้าเมืองบ้างต้องดูกันไป

ลูกค้ามักถามว่า เมื่อไหร่นุ่นจะมา ก็บอกไปว่านุ่นมีงานละครเวทีต้องเตรียมตัว ที่ผ่านมาถ้านุ่นมีเวลาจะปลีกมาบ้าง บางคนเจอแจ็กพอตนุ่นมาร้านพอดี ถ้าช่วงก่อนหน้านี้ระหว่างละครออนแอร์ ถ่ายเสร็จไปแล้ว ไม่มีละครเวทีนุ่นจะมาช่วยตลอด ว่างเมื่อไหร่ก็มาช่วยเสิร์ฟ เก็บจานชาม ตัดหญ้าเม็กซิกัน เขาทำหมดเลย เป็นแจ๋ว (หัวเราะ)

นอกจากนี้ ลูกค้ามักถามของที่นำมาตกแต่งร้าน ชิ้นนี้ชิ้นนั้นซื้อที่ไหน ทำอย่างไร บางอย่างเราทำกันเอง อย่างโคมไฟก็ทำกันเอง ใช้กรงไก่มาทำแล้วชุบสีน้ำมัน นุ่นออกแบบ ดิฉันเป็นคนตัดสินใจว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน

หลังจากเปิดร้านมีคนมาชวนว่าจะไปเปิดที่ไหนอีก จะเอาหุ้นเพิ่มไหม แต่ตอนนี้เรายังไม่เพิ่มไม่ขยาย มีกันแค่ 2 หุ้น
เท่าที่เปิดร้านมา 2 เดือนกว่า ตอนนี้ถือว่าอยู่รอดแล้ว คือมีเงินจ่ายค่าเช่า จ่ายพนักงาน มีเงินซื้อของ มีกำไรบ้าง แต่ยังไม่ถึงขั้นเต็มที่เพราะเราใช้ของดี เวลาไปช็อปทีเป็นหมื่นเลย

ขอแนะนำว่า ถ้าจะมาทานที่ร้าน ขอให้ทยอยกันมาก็ดี ถ้ามาครอบครัวใหญ่ 10 กว่าคนพร้อมกัน ทำไม่ทัน เพราะเราเป็นร้านเล็กๆ ด้านนอกก็มีโต๊ะนั่ง แต่ตอนนี้หน้าฝน พอฝนตกลูกค้าก็เข้ามานั่งข้างใน โต๊ะข้างในก็เต็ม ไม่พอ ถ้ามาครอบครัวละ 3-4 คน จะได้นั่งโต๊ะเร็ว แต่ถ้ามาเป็นสิบคนอาจจะต้องรอโต๊ะนานกว่าจะต่อโต๊ะได้”

ที่มา : มติชนออนไลน์

Indigoskin ยีนส์แบรนด์ไทย

indigoskin      "ธัชวีร์ สนธิระติ" ผู้ก่อตั้งแบรนด์ "INDIGOSKIN" ชื่อนี้มาจาก "Indigo" ที่หมายถึง สีครามน้ำเงินของยีนส์ และ Skin ที่หมายถึงผิวหนัง เจ้าของแบรนด์เชื่อว่า"ผู้ที่เครซี่ ยีนส์จะเป็นผิวหนัง ไม่ใช่แค่กางเกง"
       เขาเป็นคนบ้ายีนส์และติดอินเทอร์เน็ต หมดเงินกับยีนส์ต่างประเทศไปไม่น้อย วันหนึ่งก็เกิดความคิดว่า "ทำไมเราไม่มียีนส์ที่มีเอกลักษณ์ความเป็นไทย เอาลายกนกมาใส่ ที่ทำยังไงให้ดูไม่เชย"
       ไวเท่าความคิดตามประสาคนรุ่นใหม่ ธัชวีร์ทดลองสั่งผ้ายีนส์ Kaihara ที่เก่าแก่ของญี่ปุ่นมาหนึ่งล็อต เพื่อนำมาตัดเย็บมิกซ์กับผ้าโขมพัสตร์ที่มีชื่อเสียงของไทย เขาออกแบบกระดูกในคอนเซ็ปต์ "ทอง นาก เงิน" มีดีไซน์เป็นลายกนกประยุกต์ที่กระเป๋าหลัง ตัดเย็บเสร็จก็นำไปโพสต์ที่ "Soul4street.com"
       ด้วยเรื่องราวที่มีและวัตถุดิบที่ใช้ ไม่นานเขาก็มี Pre-Order จากผู้สนใจ ทำมา 126 ตัวแรกในโลก ปัจจุบัน Sold Out ด้วยราคาตัวละร่วมห้าพันบาท เขาจึงเริ่มซีรีส์ที่สอง นำผ้า จิม ทอมป์สัน มามิกซ์กับผ้ายีนส์ Japanese Dry Selvage ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ ทำให้ตอนนี้ INDIGOSKIN มีแฟนคลับกลุ่มย่อยๆ ในอินเทอร์เน็ตจากการเริ่มต้นแบรนด์นี้มาเพียง 8 เดือน (หาเบาะแสแบรนด์นี้ได้จากการเสิร์ชหาใน Google)
       สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับ INDIGOSKIN ก็คือ การสร้างแบรนด์จาก Website Community การเริ่มต้นสร้างฐานแฟนคลับในจุดเล็กๆ มี Pre-Order แล้วค่อยผลิตจริง ผู้ขายกับผู้ซื้อพัฒนาความสัมพันธ์และศรัทธาผ่าน Social Network จุดนี้ผลักดันให้แบรนด์ของตัวเองค่อยๆ แข็งแรงขึ้นมา โมเดลลักษณะนี้เหมาะสมกับยุคสมัยนี้มากครับ ถ้าใครสักคนอยากลุกขึ้นมาประดิษฐ์อะไรให้โลกเห็น

ที่มา : manager online

 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | Justin Bieber, Gold Price in India